คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5299/2537

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ศาลมีอำนาจงดสืบพยานได้ในเมื่อเห็นว่าข้อเท็จจริงเพียงพอที่จะให้ฟังเป็นยุติได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 104และอำนาจในการวินิจฉัยว่าตามคำฟ้อง คำให้การ และคำรับของคู่ความเป็นอันเพียงพอยุติได้หรือไม่เป็นอำนาจของศาลเมื่อศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจว่าเพียงพอยุติได้แล้ว จำเลยฎีกาโต้แย้งว่ายังไม่ควรยุติ ย่อมเป็นการฎีกาโต้เถียงดุลพินิจของศาลอันเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ครั้งแรกศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์หรือจำเลย ต่อมามีคำสั่งเพิกถอนและกำหนดประเด็นข้อพิพาทใหม่ว่าที่พิพาทอยู่ในเขตที่ดินของโจทก์หรือไม่ แต่คำฟ้องระบุว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินมีโฉนดและจำเลยได้บุกรุกเข้าไปโค่นยางพาราและปลูกยางพาราขึ้นใหม่ เป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ส่วนจำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยเข้าไปในที่ดินของโจทก์ จำเลยโค่นยางพาราและปลูกยางพาราในที่ดินของจำเลยเอง การที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทใหม่ว่าที่พิพาทอยู่ในเขตที่ดินของโจทก์หรือไม่ เป็นการกำหนดประเด็นข้อพิพาทตามข้ออ้างและข้อเถียงในคำฟ้องและคำให้การนั่นเอง และหากข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่พิพาทอยู่ในที่ดินของโจทก์แล้วก็ต้องวินิจฉัยว่า จำเลยบุกรุกที่พิพาทหรือไม่ โดยจะต้องวินิจฉัยว่าฝ่ายใดมีสิทธิดีกว่ากันซึ่งจำเลยให้การเพียงว่าจำเลยมีสิทธิครอบครองในที่พิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ แต่ตามแผนที่พิพาทปรากฏว่าที่พิพาทอยู่ในเขตที่ดินตามโฉนดของโจทก์ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่พิพาท ในขณะที่จำเลยอ้างว่ามีสิทธิเพียงครอบครองเท่านั้น โจทก์จึงมีสิทธิในที่พิพาทดีกว่าจำเลยเพราะโจทก์เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ เมื่อฟังว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่พิพาท จึงเป็นการวินิจฉัยตรงกับประเด็นข้อพิพาทที่ว่าพิพาทเป็นของโจทก์หรือจำเลยที่ศาลชั้นต้นกำหนดในครั้งแรกนั่นเอง ดังนั้น การวินิจฉัยตามประเด็นข้อพิพาทที่ศาลชั้นต้นกำหนดใหม่ก็หาทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลงจากเดิมไม่ การกำหนดประเด็นข้อพิพาทใหม่ของศาลชั้นต้นจึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 183 วรรคสองแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่1309 และ 1312 มีอาณาเขตติดต่อกัน เมื่อต้นปี พ.ศ. 2529จำเลยทั้งสองร่วมกันบุกรุกเข้าไปในที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวและโค่นพืชผลซึ่งเป็นยางพารา แล้วจำเลยทั้งสองปลูกยางพาราขึ้นใหม่ในที่ดินทั้งสองแปลง ซึ่งเป็นการละเมิดต่อโจทก์ทำให้โจทก์เสียหาย ไม่ได้ใช้ประโยชน์ในที่ดินหากโจทก์ให้ผู้อื่นเช่าก็จะได้ค่าเช่าอย่างน้อยเดือนละ 3,000 บาท ขอให้ขับไล่จำเลยทั้งสองออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ 1309 และ 1312 ตำบลบางเทา(เชิงทะเล) อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต ห้ามจำเลยทั้งสองเข้ายุ่งเกี่ยวที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวต่อไป ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 3,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองจะออกไปจากที่ดินของโจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยทั้งสองไม่เคยเข้าไปกระทำการใดในที่ดินของโจทก์และไม่เคยโค่นต้นยางพาราในที่ดินโจทก์แต่จำเลยทั้งสองทำประโยชน์โดยโค่นต้นยางพาราและปลูกยางพาราขึ้นใหม่ในที่ดินจำเลยทั้งสองเอง ที่ดินดังกล่าวเดิมเป็นของบิดาจำเลยทั้งสอง ซึ่งได้แจ้งการครอบครองและออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์แล้ว ตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดินและหนังสือรับรองการทำประโยชน์ท้ายคำให้การเมื่อจำเลยทั้งสองยังมิได้ร่วมกระทำการอันเป็นการโต้แย้งสิทธิโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องและเรียกค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสอง
การที่ได้มาซึ่งที่ดินทั้งสองแปลงตามคำฟ้องโจทก์ โจทก์ได้มาโดยไม่สุจริต และหาได้จดทะเบียนโดยสุจริตไม่ เพราะโจทก์ทราบมาก่อนจดทะเบียนซื้อที่พิพาททั้งสองแปลงแล้วว่า เป็นกรรมสิทธิ์ของบิดาจำเลยทั้งสอง บิดาจำเลยทั้งสองครอบครองโดยสงบเปิดเผยและด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมากกว่า 10 ปีแต่ยังมิได้แก้ไขเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนเป็นชื่อของบิดาจำเลยทั้งสองเท่านั้น ต่อมาที่พิพาทตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยทั้งสองจำเลยทั้งสองได้ครอบครองด้วยเจตนาเป็นเจ้าของต่อมาโดยต่อเนื่องจากบิดาจำเลยทั้งสองจนถึงวันฟ้อง โจทก์ไม่มีสิทธิในที่พิพาทดีกว่าจำเลยทั้งสอง ขอให้ยกฟ้อง
ในวันนัดชี้สองสถาน จำเลยทั้งสองแถลงว่า คำให้การในข้อ 2 วรรคแรก ขอสละไม่ถือเป็นคำให้การ ส่วนโจทก์แถลงยอมรับว่า ค่าเสียหายของโจทก์มีเพียงเดือนละ 500 บาท ตรงตามที่จำเลยทั้งสองให้การไว้
วันที่ 27 กันยายน 2532 ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์หรือจำเลยทั้งสอง และสั่งว่าจำเลยทั้งสองกล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์และคู่ความแถลงร่วมกันว่าที่พิพาทมีราคา 120,000 บาท จึงให้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลตามทุนทรัพย์ดังกล่าว สั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยและนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 28 กันยายน 2532 ครั้นถึงวัดนัดศาลชั้นต้นสั่งเพิกถอนเฉพาะการชี้สองสถาน และคำสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยตามรายงานกระบวนการพิจารณาลงวันที่27 กันยายน 2532 โดยกำหนดประเด็นข้อพิพาทใหม่ว่า ที่พิพาทอยู่ในเขตที่ดินโจทก์หรือไม่ และนัดสืบพยานโจทก์จำเลยไป
ในวันนัดสืบพยานโจทก์จำเลย โจทก์จำเลยทั้งสองตรวจดูแผนที่พิพาทแล้วแถลงว่าแผนที่พิพาทรวมทั้งข้อความทั้งหมดในแผนที่พิพาทถูกต้อง และที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองและหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เป็นที่ดินแปลงเดียวกัน นายกาว ช่างเหล็กเป็นบิดาจำเลยทั้งสอง ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยโดยเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้แล้ว ดังรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่19 มีนาคม 2533
ศาลชั้นต้นพิพากษาขับไล่จำเลยทั้งสองออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่1309 และ 1312 ตำบลบางเทา (เชิงทะเล) อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ตห้ามเกี่ยวข้องต่อไป และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายเดือนละ 500 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะออกจากที่ดินโจทก์ จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืนจำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยทั้งสองฎีกาข้อหนึ่งว่าศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานไม่ชอบเพราะโจทก์และจำเลยทั้งสองต่างก็โต้แย้งว่าที่พิพาทเป็นของตน ตามแผนที่พิพาทที่คู่ความรับรองความถูกต้องนั้นก็รับรองเพียงว่าที่ดินอยู่บริเวณไหนเท่านั้น จำเลยทั้งสองไม่ได้รับว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ ประเด็นแห่งคดีที่โต้เถียงกันว่าที่พิพาทเป็นของใครจึงไม่ยุติ เห็นว่า ศาลมีอำนาจงดสืบพยานได้ในเมื่อเห็นว่าข้อเท็จจริงเพียงพอที่ให้ฟังเป็นยุติได้แล้ว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 104 และอำนาจในการวินิจฉัยว่าตามคำฟ้อง คำให้การ และคำรับของคู่ความเป็นอันเพียงพอยุติได้หรือไม่เป็นอำนาจของศาล เมื่อศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจว่าเพียงพอยุติได้แล้ว จำเลยทั้งสองฎีกาโต้เถียงว่ายังไม่ควรยุติ ย่อมเป็นการฎีกาโต้เถียงดุลพินิจของศาลอันเป็นปัญหาข้อเท็จจริง คดีนี้มีราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาท จึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่งฎีกาข้อนี้ของจำเลยทั้งสองจึงต้องห้ามฎีกาตามบทกฎหมายดังกล่าวที่ศาลชั้นต้นส่งรับมาโดยเห็นว่าเป็นฎีกาข้อกฎหมายไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาและเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยคดีคงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยทั้งสองฎีกาในข้อกฎหมายว่าศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ เห็นว่าแม้ครั้งแรกศาลชั้นต้นจะกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์หรือจำเลยทั้งสองแล้วต่อมาศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอน และกำหนดประเด็นข้อพิพาทใหม่ว่าที่พิพาทอยู่ในเขตที่ดินของโจทก์หรือไม่ แต่คำฟ้องของโจทก์ระบุว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดิน 2 แปลง ซึ่งเป็นที่ดินมีโฉนดและจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันบุกรุกเข้าไปในที่ดินดังกล่าว ได้โค่นยางพาราและปลูกยางพาราขึ้นใหม่ในที่ดินทั้งสองแปลง เป็นการละเมิดต่อโจทก์ทำให้โจทก์เสียหาย ส่วนจำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยทั้งสองไม่ได้ร่วมทำละเมิดต่อโจทก์ไม่เคยเข้าไปกระทำการใดในที่ดินของโจทก์ทั้งไม่เคยโค่นยางพาราในที่ดินของโจทก์ แต่จำเลยทั้งสองโค่นยางพาราและปลูกยางพาราในที่ดินของจำเลยทั้งสองเอง หาใช่ที่ดินของโจทก์ตามฟ้องไม่ ที่ดินของจำเลยทั้งสองเดิมเป็นที่ดินของบิดาจำเลยทั้งสอง ซึ่งได้แจ้งการครอบครองและได้รับหนังสือรับรองการทำประโยชน์แล้ว ตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดินและหนังสือรับรองการทำประโยชน์ท้ายคำให้การ เมื่อปรากฏว่าจำเลยทั้งสองยังไม่ได้กระทำการอันเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจเรียกค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสอง จึงเห็นได้ว่าการที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทใหม่ว่าที่พิพาทอยู่ในเขตที่ดินของโจทก์หรือไม่จึงเป็นการกำหนดประเด็นข้อพิพาทตามข้ออ้างและข้อเถียงในคำฟ้องและคำให้การของโจทก์จำเลยทั้งสองนั่นเอง และหากข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่พิพาทอยู่ในที่ดินของโจทก์แล้วก็ต้องวินิจฉัยตามข้ออ้างในฟ้องโจทก์ว่า จำเลยทั้งสองบุกรุกที่พิพาทหรือไม่ โดยจะต้องวินิจฉัยถึงสิทธิของโจทก์และจำเลยทั้งสองในที่พิพาทว่าฝ่ายใดมีสิทธิดีกว่ากันด้วย ซึ่งจำเลยทั้งสองให้การเพียงว่าจำเลยทั้งสองมีสิทธิครอบครองในที่พิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ท้ายคำให้การ แต่ปรากฏตามแผนที่พิพาทซึ่งโจทก์และจำเลยทั้งสองรับรองความถูกต้องว่าที่พิพาทอยู่ในเขตที่ดินตามโฉนดของโจทก์ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่พิพาท ในขณะที่จำเลยทั้งสองอ้างว่ามีเพียงสิทธิครอบครองเท่านั้น โจทก์จึงมีสิทธิในที่พิพาทดีกว่าจำเลยทั้งสอง เพราะโจทก์เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์เมื่อฟังว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่พิพาท จึงเป็นการวินิจฉัยตรงกับประเด็นข้อพิพาทที่ว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์หรือจำเลยที่ศาลชั้นต้นกำหนดในครั้งแรกนั่นเอง ดังนั้น การวินิจฉัยตามประเด็นข้อพิพาทที่ศาลชั้นต้นกำหนดใหม่ ก็หาทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลงจากเดิมไม่ การกำหนดประเด็นข้อพิพาทใหม่ของศาลชั้นต้นจึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 183 วรรคสองแล้ว ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share