แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
น. มีอาชีพหาหญิงโสเภณีบริการแก่ผู้ชาย ส่วนผู้เสียหายเป็นหญิงโสเภณีที่อยู่กับ น.จำเลยทั้งห้าไปที่บ้านเกิดเหตุของผู้เสียหายโดยการชักชวนของ น. ที่ต้องการได้รับผลประโยชน์ส่วนแบ่งตอบแทนจากผู้เสียหายที่ให้บริการค้าประเวณีกับจำเลย ดังนี้ การที่จำเลยเข้าไปบ้านที่เกิดเหตุดังกล่าว จึงมิใช่เป็นการเข้าไปโดยไม่มีเหตุสมควร ส่วนการที่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ดึงประตูห้องพักผู้เสียหายไม่ยอมให้ผู้เสียหายปิดประตูใส่กลอนได้ เพราะสาเหตุจากตกลงราคาค่าจ้างร่วมประเวณีกันไม่ได้หรือเพราะต้องการให้จำเลยที่ 1 ออกจากห้องพักของผู้เสียหายก็ตาม พฤติการณ์ดังกล่าวเมื่อประกอบกับบริเวณที่เกิดเหตุอยู่ติดกับทางเดินซึ่งใช้ร่วมกันระหว่างผู้เช่าห้องพักที่อยู่ชั้นล่าง และผู้ที่จะมาพบผู้เช่าห้อง ดังนี้รูปคดีจึงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5มีเจตนารบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของผู้เสียหายโดยปกติสุข
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งห้าตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 278, 362,364, 365, 83, 91 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 5)พ.ศ. 2525 มาตรา 3 และบวกโทษจำเลยที่ 1 ที่ศาลรอการลงโทษไว้เข้ากับคดีนี้ด้วย
จำเลยทั้งห้าให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 365, 278, 83, 90 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา(ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2525 มาตรา 3 การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานกระทำอนาจารแก่บุคคลอายุเกินกว่าสิบสามปี (ที่ถูกกว่าสิบห้าปี) อันเป็นบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90จำคุก 2 ปี และบวกโทษจำคุก 1 ปี 4 เดือน ที่ศาลรอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 270/2526 ของศาลชั้นต้นเข้ากับคดีนี้ รวมเป็นจำคุก 3 ปี 4 เดือน จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365, 83 จำเลยที่ 3 อายุ 18 ปี พิเคราะห์แล้วไม่ลดมาตราส่วนโทษให้ ลงโทษจำคุกคนละ 1 ปี โทษจำคุกจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ให้รอไว้มีกำหนดคนละ 2 ปี คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยทั้งห้าอุทธรณ์ ต่อมาระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอถอนอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์อนุญาต ให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 1
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5กระทำความผิดฐานบุกรุกตามฎีกาโจทก์หรือไม่ โจทก์มีนางพัฒนา เต็มแก้ว ซึ่งเช่าห้องอยู่ชั้นบนของบ้านที่เกิดเหตุเป็นพยานเบิกความว่า บ้านที่เกิดเหตุเป็นบ้านไม้ชั้นเดียวใต้ถุนสูงชั้นบนกั้นเป็นห้อง 4 ห้อง ส่วนชั้นล่างต่อมากั้นเป็นห้อง 3 ห้อง และห้องน้ำอีก 1 ห้องห้องพักชั้นล่างอยู่ติดกับทางเดิน ตอนแรกหญิงโสเภณี 2 คน มาอยู่กับนางนิรันดร์หรือติ๋มมีชายหนุ่มมาเที่ยวหญิงโสเภณีทุกวัน หลังจากหญิงโสเภณีทั้งสองคนดังกล่าวไปแล้ว ผู้เสียหายก็มาพักอาศัยและเป็นหญิงโสเภณีเช่นเดียวกัน วันเกิดเหตุเวลาประมาณ 23 นาฬิกา ขณะที่พยานนั่งดูโทรทัศน์อยู่ มีกลุ่มวัยรุ่น 5 – 6 คนขับขี่รถจักรยานยนต์ 3 คันมาจอดที่ใต้ถุนบ้านกลุ่มวัยรุ่นนั้นส่งเสียงหัวเราะดัง พยานจึงลงมาต่อว่าและมองเห็นนางนิรันดร์ยืนอยู่ที่ใต้ถุนข้าง ๆ ห้องพัก พยานได้ยินนางนิรันดร์พูดว่า “เดี๋ยวกูจะออกไปแจ้งความนะ” ขณะนั้นพยานได้ยินเสียงผู้เสียหายร้องไห้อยู่ภายในห้องและพยานได้ยินเสียงคนในกลุ่มวัยรุ่นนั้นพูดขึ้นว่า”ถ้าเขาไม่ยอมเอาร้อยหนึ่งก็ออกมาเสีย” แล้วพยานมองเห็นนางนิรันดร์ไปงัดหน้าต่างชั้นล่างออกพร้อมกับพูดว่า “ถ้าเขาไม่ยอมก็ให้ออกมา” นางนิรันดร์พูดแล้วก็ออกไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจ กับได้ความจากนายปัญญา ฤดี พยานโจทก์อีกปากหนึ่งว่า นางจันทร์คำ เรืองอุไร เป็นเจ้าของบ้านเช่าที่เกิดเหตุ น้องชายของนางจันทร์คำเคยใช้ห้องพักดังกล่าวเป็นซ่องโสเภณี นางนิรันดร์ซึ่งเช่าห้องพักชั้นล่างมีอาชีพหาหญิงมาบริการให้แก่ผู้ชาย ก่อนเกิดเหตุประมาณ 2 เดือนผู้เสียหายมาเป็นหญิงโสเภณีอยู่กับนางนิรันดร์โดยคิดค่าบริการครั้งละ 200 บาท พยานเคยไปเที่ยวที่บ้านดังกล่าวด้วย และว่าในคืนวันเดียวกันก่อนเกิดเหตุพยานกับจำเลยทั้งห้าพากันไปดื่มสุราที่ร้านจันทร์คำจึงได้พบกับผู้เสียหายและนางนิรันดร์ จำเลยที่ 1 เข้าไปพูดคุยกับนางนิรันดร์และผู้เสียหายนานประมาณ 15 นาทีแล้วพากันไปที่บ้านเกิดเหตุ เห็นว่า นางพัฒนา เต็มแก้วพยานโจทก์เป็นบุคคลภายนอกไม่มีส่วนได้เสียกับฝ่ายใดย่อมไม่มีเหตุอันควรระแวงสงสัยว่าจะเบิกความปรักปรำผู้เสียหายและนางนิรันดร์ ส่วนนายปัญญา ฤดี พยานโจทก์อีกปากหนึ่งนั้นแม้จะได้ความว่าเป็นพี่เขยของจำเลยที่ 4 และเป็นญาติกับจำเลยที่ 5แต่พยานโจทก์ดังกล่าวก็เบิกความสอดคล้องกับนางพัฒนา เต็มแก้ว เชื่อได้ว่าพยานโจทก์ทั้งสองเบิกความไปตามความเป็นจริง ฟังได้ว่าก่อนเกิดเหตุนางนิรันดร์มีอาชีพหาหญิงมาบริการให้แก่ผู้ชาย และผู้เสียหายมาเป็นหญิงโสเภณีอยู่กับนางนิรันดร์โดยคิดค่าบริการครั้งละ 200 บาท ตามพฤติการณ์ที่จำเลยที่ 1 เข้าไปพูดคุยกับนางนิรันดร์และผู้เสียหายที่ร้านจันทร์คำแล้วพากันไปที่บ้านเกิดเหตุ เชื่อได้ว่าจำเลยทั้งห้าพากันไปที่บ้านเกิดเหตุโดยการชักชวนของนางนิรันดร์เพื่อหวังผลประโยชน์ตอบแทนจากผู้เสียหายในการให้บริการแก่พวกจำเลย จึงไม่ใช่เป็นการเข้าไปในบ้านที่เกิดเหตุโดยไม่มีเหตุสมควรคดีนี้แม้ได้ความจากผู้เสียหายว่าจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ดึงประตูห้องพักของผู้เสียหายไม่ยอมให้ผู้เสียหายปิดประตูใส่กลอนได้ ก็น่าจะเป็นเพราะเรื่องต่อรองราคาค่าจ้างร่วมประเวณีแล้วตกลงกันไม่ได้ โดยผู้เสียหายจะคิดค่าบริการ 200 บาท แต่พวกจำเลยจะให้ค่าบริการเพียง100 บาท หรือน่าจะเป็นเพราะจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ต้องการให้จำเลยที่ 1 ออกมาจากห้องพักของผู้เสียหายก็ได้ อีกทั้งบริเวณที่เกิดเหตุอยู่ติดกับทางเดินซึ่งใช้ร่วมกันระหว่างผู้เช่าห้องพักที่อยู่ชั้นล่างและผู้ที่จะมาพบผู้เช่าห้องพักดังกล่าวรูปคดียังฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5มีเจตนารบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของผู้เสียหายโดยปกติสุข อันจะเป็นความผิดฐานบุกรุกตามฟ้อง”
พิพากษายืน