แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ในคดีอาญาที่โจทก์ร้องทุกข์กล่าวหาว่าจำเลยบุกรุกที่พิพาทและเข้าเป็นโจทก์ร่วม ศาลอุทธรณ์พิพากษาถึงที่สุดว่าที่ดินพิพาทยังโต้เถียง สิทธิกันอยู่ไม่ทราบแน่ชัดว่าเป็นของใคร แม้จำเลยจะเข้าไปไถที่ดินพิพาทก็ขาดเจตนาบุกรุก จำเลยไม่มีความผิดฐานบุกรุกดังนี้ ศาลยังไม่ได้วินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นของใคร ข้อเท็จจริงในคำพิพากษาคดีอาญาจึงไม่มีผลผูกพันถึงคดีแพ่งซึ่งพิพาทกันภายหลังเกี่ยวกับสิทธิในที่พิพาท.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยทั้งสองบุกรุกขอให้ขับไล่จำเลยทั้งสองออกจากที่ดินพิพาท
จำเลยทั้งสองให้การและฟ้องแย้งว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ครอบครองที่ดินพิพาทมาเกินกว่า 1 ปี โจทก์หมดสิทธิที่จะฟ้อง ขอให้เพิกถอนที่ดินพิพาทออกจาก น.ส. 3 ของโจทก์
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ พิพากษาขับไล่จำเลยทั้งสองออกจากที่ดินพิพาทและให้ยกฟ้องแย้ง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เมื่อเดือนพฤษภาคม 2523 โจทก์ร้องทุกข์ กล่าวหาจำเลยทั้งสองต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองกาญจนบุรีว่า บุกรุกที่ดินคือที่พิพาทคดีนี้ ศาลจังหวัดกาญจนบุรีพิพากษายกฟ้องตามคดีอาญา หมายเลขแดงที่ 1633/2523 ซึ่งนายสมคิด ปั้นหยา โจทก์ร่วมคดีนั้นได้อุทธรณ์ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาถึงที่สุดว่า “ที่ดินพิพาทนี้ นายสมคิดโจทก์ร่วมกับนางแต่ง แซ่เฮง จำเลยที่ 1 ยังโต้เถียงสิทธิกันอยู่ยังไม่ทราบแน่ว่าเป็นที่ดินของใคร ถึงแม้จำเลยทั้งสองจะเข้าไปไถที่ดินพิพาท ก็ขาดเจตนาบุกรุก ยังถือไม่ได้ว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดฐานบุกรุก” เมื่อคดีอาญายังไม่ได้วินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นของใคร ที่จำเลยทั้งสองไม่ผิดฐานบุกรุกนั้นก็เพราะขาดเจตนาฉะนั้น ข้อเท็จจริงในคำพิพากษาคดีอาญาจึงไม่มีผลผูกพันถึงคดีนี้…พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมีน้ำหนักเชื่อได้มากกว่าพยานจำเลยทั้งสองว่า ที่พิพาทเป็นที่ดินของโจทก์ จำเลยทั้งสองบุกรุกที่ดิน โจทก์เมื่อเดือนพฤษภาคม 2523 โจทก์ฟ้องวันที่ 15 ตุลาคม2523 คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ ศาลล่างทั้งสองพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.