แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินตามเช็คพิพาทพร้อมดอกเบี้ยที่จำเลยจ่ายคืนทุนที่เข้าหุ้นส่วนกันให้โจทก์จำเลยให้การว่า โจทก์จำเลยตกลงกันว่าระหว่างที่ยังไม่ถึงกำหนดใช้เงินตามเช็ค โจทก์จะนำสมุดบัญชีมาตรวจสอบร่วมกันก่อน โดยไม่มีเจตนาจะให้ผูกพันเป็นการชำระหนี้และโจทก์จะไม่นำเช็คไปเบิกเงินจากธนาคารจนกว่าจะได้ตรวจสอบบัญชีให้ถูกต้อง และฟ้องแย้งว่าโจทก์ได้เบียดบังยักยอกสินค้าของร้าน ซึ่งจำเลยมีส่วนร่วมอยู่ครึ่งหนึ่งเป็นเงิน 199,298 บาท ไป ขอให้บังคับให้โจทก์ชำระเงินดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ย และเรียกค่าเสียหายที่โจทก์ทำลายสมุดบัญชีร้านค้าของจำเลย เมื่อข้ออ้างที่จำเลยอาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาในฟ้องแย้งเป็นเรื่องกล่าวหาว่าโจทก์กระทำละเมิด ไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม จึงชอบที่ศาลจะมีคำสั่งไม่รับฟ้องแย้ง โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินตามเช็คแต่จำเลยยังให้การต่อสู้ว่า จำเลยออกเช็คให้โจทก์เป็นประกันและตกลงกันด้วยว่าไม่ให้โจทก์นำเช็คพิพาทไปเรียกเก็บเงินจนกว่าจะได้ตรวจสอบบัญชี ให้ถูกต้องก่อน หากฟังได้ตามที่จำเลยให้การ โจทก์ก็ไม่มี สิทธินำเช็คไปเรียกเก็บเงิน ศาลชั้นต้นจึงต้องสืบ พยานโจทก์จำเลยเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงดังกล่าวเสียก่อน การที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วพิพากษา ให้จำเลยรับผิดชดใช้เงินตามเช็คพร้อมดอกเบี้ยและศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จึงไม่ชอบ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินตามเช็คพิพาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยถึงวันฟ้องเป็นเงินจำนวน 240,313 บาท และให้ชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 223,824 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนถึงวันชำระเสร็จ
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า ไม่ได้ออกเช็คพิพาททั้งสี่ฉบับเพื่อเป็นการชำระหนี้ แต่เป็นเช็คที่ออกให้โจทก์ถือไว้เป็นประกันในการคืนทุนในระหว่างที่จำเลยคิดบัญชีของร้านที่โจทก์และจำเลยร่วมเข้าหุ้นกันอยู่เพื่อจะเลิกกิจการ โดยตกลงว่าไม่ให้นำเช็คพิพาททั้งสี่ฉบับไปเรียกเก็บเงินจากธนาคารจนกว่าจะได้ตรวจบัญชีให้ถูกต้อง ในระหว่างตรวจบัญชีกับโจทก์ จำเลยพบว่าตั้งแต่เริ่มประกอบการมาโจทก์ได้เบียดบังยักยอกเงินค่าสินค้าไปทั้งสิ้น 398,596 บาท จำเลยได้แจ้งให้โจทก์นำเงินมาคืนพร้อมทั้งให้ส่งมอบสมุดบัญชีร้านค้าให้จำเลย แต่โจทก์เพิกเฉยทั้งได้ปิดบังซ่อนเร้นทำลายเอกสารสมุดบัญชีร้านค้าโดยเจตนาฉ้อโกงจำเลย จำเลยจึงห้ามธนาคารจ่ายเงินตามเช็คพิพาททั้งสี่ฉบับ เช็คพิพาททั้งสี่ฉบับจึงไม่มีมูลหนี้ที่จำเลยจะต้องรับผิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้องและขอให้โจทก์ชำระเงินส่วนของจำเลยที่โจทก์ยักยอกเอาไป และค่าเสียหายที่โจทก์ทำลายสมุดบัญชีร้านค้ารวมเป็นเงินทั้งสิ้น 229,227 บาท
ในชั้นชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นเห็นว่าคำฟ้องแย้งของจำเลยไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิม จึงเพิกถอนคำสั่งที่รับฟ้องแย้งไว้แล้วมีคำสั่งไม่รับฟ้องแย้งของจำเลย และเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้แล้วจึงให้งดสืบพยานโจทก์และพยานจำเลยแล้วพิพากษาให้จำเลยใช้เงิน 123,824 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีในต้นเงิน 50,000 บาท และ 73,824 บาท นับแต่วันที่13 ธันวาคม 2537 และวันที่ 11 มกราคม 2538 ตามลำดับเป็นต้นไป จนกว่าจะใช้เงินเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์คำสั่งงดสืบพยานและไม่รับฟ้องแย้ง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยฎีกาข้อแรกว่า ฟ้องแย้งของจำเลยเกี่ยวกับคำฟ้องเดิม ศาลล่างทั้งสองสั่งไม่รับฟ้องแย้งไม่ชอบเห็นว่า โจทก์ฟ้องจำเลยอ้างว่าจำเลยจ่ายเช็คพิพาททั้งสี่ฉบับเพื่อคืนทุนที่เข้าหุ้นส่วนกันให้โจทก์ โจทก์นำไปเบิกเงินจากธนาคารปรากฏว่าธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน จำเลยให้การว่า โจทก์ขอให้จำเลยสั่งจ่ายเช็คคืนทุนให้โจทก์ไว้ก่อนโดยตกลงกันว่าระหว่างที่ยังไม่ถึงกำหนดใช้เงินตามเช็คโจทก์จะนำสมุดบัญชีมาตรวจสอบร่วมกันก่อน โดยไม่มีเจตนาจะให้ผูกพันเป็นการชำระหนี้และจะไม่นำเช็คไปเบิกเงินจากธนาคารจนกว่าจะได้ตรวจสอบบัญชีให้ถูกต้อง ปรากฏว่าโจทก์ได้เบียดบังยักยอกสินค้าของร้านไปเป็นเงิน 398,596 บาทซึ่งจำเลยมีส่วนร่วมอยู่ครึ่งหนึ่งเป็นเงิน 199,298 บาท จึงฟ้องแย้งขอให้บังคับให้โจทก์ชำระเงินดังกล่าวให้จำเลยพร้อมดอกเบี้ยและโจทก์ทำให้เสียหายโดยทำลายสมุดบัญชีร้านค้าของจำเลยได้รับความเสียหายเป็นเงิน 10,000 บาท เห็นว่าข้ออ้างที่จำเลยอาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาในฟ้องแย้งว่า โจทก์เบียดบังยักยอกสินค้าของร้านไปก็ดี โจทก์ทำลายสมุดบัญชีของจำเลยก็ดี เป็นเรื่องกล่าวหาว่าโจทก์กระทำละเมิดจึงไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม ศาลล่างทั้งสองไม่รับฟ้องแย้งจำเลยชอบแล้ว
จำเลยฎีกาข้อสุดท้ายว่า ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานจำเลยและพิพากษาให้จำเลยรับผิดไม่ชอบ เห็นว่า จำเลยให้การโต้แย้งว่าจำเลยออกเช็คให้โจทก์ไว้เป็นประกันในการคืนทุน โดยตกลงกันว่าไม่ให้โจทก์นำเช็คพิพาทไปเรียกเก็บเงินจนกว่าจะได้ตรวจสอบบัญชีให้ถูกต้อง ระหว่างการตรวจสอบบัญชีจำเลยพบว่าโจทก์เป็นคนยักยอกเงินไปและปิดบังซ่อนเร้นทำลายสมุดบัญชี จำเลยจึงห้ามธนาคารไม่ให้จ่ายเงินตามเช็ค อันเป็นกรณีที่จำเลยยังโต้เถียงข้อเท็จจริงอยู่ว่าโจทก์จำเลยตกลงกันว่า จำเลยออกเช็คให้โจทก์เป็นประกันและตกลงกันด้วยว่าไม่ให้โจทก์นำเช็คพิพาทไปเรียกเก็บเงินจนกว่าจะได้ตรวจสอบบัญชีให้ถูกต้องก่อนหากข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่จำเลยโต้แย้งโจทก์ก็ต้องปฏิบัติตามข้อตกลงไม่มีสิทธินำเช็คไปเรียกเก็บเงินฉะนั้นศาลชั้นต้นจึงต้องสืบพยานโจทก์จำเลยเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงดังกล่าวเสียก่อนที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยและศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืนจึงไม่ชอบ
พิพากษายกคำพิพากษาศาลล่างทั้งสอง ให้ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์จำเลยต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี