คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4015/2528

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์จำเลยได้เลิกสัญญาจะซื้อขายที่ดินกันแล้ว คู่สัญญาจึงต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391แต่จำเลยไม่คืนเงินมัดจำและราคาที่ดินที่จำเลยรับไว้ให้แก่โจทก์ โจทก์จึงฟ้องคดีเพื่อเรียกเงินดังกล่าวคืน เป็นกรณีที่เจ้าของกรรมสิทธิ์ติดตามเอาทรัพย์สินคืน ไม่มีอายุความ การพิจารณาทุนทรัพย์ว่าจะฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้หรือไม่นั้น ต้องถือตามทุนทรัพย์ที่เรียกร้องในศาลชั้นต้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทำสัญญามัดจำซื้อที่ดินจากจำเลย และได้วางมัดจำไว้แล้ว45,000 บาท ต่อมาทราบว่าที่ดินดังกล่าวไม่ใช่ของจำเลย จึงขอให้จำเลย จึงขอให้จำเลยคืนเงินมัดจำแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยได้รับมอบอำนาจจากผู้มีชื่อให้จัดสรรที่ดินขาย โจทก์ทำสัญญาจะซื้อที่ดินตามฟ้องโดยจะชำระค่ามัดจำเป็นงวด ๆ แต่โจทก์ชำระเพียงบางส่วนแล้วไม่ชำระต่อ จำเลยจึงได้บอกเลิกสัญญาและมีสิทธิริบมัดจำ คดีขาดอายุความขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ตามฟ้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า โจทก์จำเลยสมัครใจเลิกสัญญาต่อกันแล้วจำเลยรับเงินมัดจำไว้จากโจทก์เพียง 35,000 บาท และวินิจฉัยข้อกฎหมายว่าที่จำเลยฎีกาว่าคดีขาดอายุความแล้วนั้น เห็นว่า โจทก์จำเลยได้เลิกสัญญาจะซื้อขายที่ดินกันแล้ว คู่สัญญาจึงต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 แต่จำเลยไม่ยอมคืนเงินมัดจำและราคาที่ดินที่จำเลยรับไว้ให้แก่โจทก์ โจทก์จึงฟ้องคดีนี้เรียกเงินดังกล่าวคืนอันเป็นกรณีที่เจ้าของกรรมสิทธิ์ติดตามเอาทรัพย์สินคืนซึ่งไม่มีอายุความ ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นอีกเช่นกัน
อนึ่ง มีปัญหาตามคำแก้ฎีกาของโจทก์ว่า ทุนทรัพย์ที่จำเลยฎีกามีจำนวน45,000 บาท ไม่เกิน 50,000 บาท จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้ทุนทรัพย์ที่โจทก์เรียกร้องในศาลชั้นต้นเกินกว่า 50,000 บาท ซึ่งคู่ความมีสิทธิฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้ แม้ทุนทรัพย์ในชั้นฎีกาไม่เกิน 50,000 บาท ก็ต้องถือตามทุนทรัพย์ที่เรียกร้องในศาลชั้นต้นเป็นเกณฑ์พิจารณา คดีของจำเลยจึงไม่ต้องห้ามฎีกาดังโจทก์อ้าง
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงิน 35,000 บาทแก่โจทก์

Share