แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ที่ดินโฉนดเลขที่ 77 เป็นกรรมสิทธิ์รวมของ ส.ห. และม.ต่อมาบุคคลทั้งสามขายที่ดินดังกล่าวให้โจทก์ที่ 1และ จ. จำเลยที่ 1 ไม่ได้ซื้อที่ดินดังกล่าวจาก ส. และไม่ได้ครอบครองที่ดินด้วยเจตนาเป็นเจ้าของในฐานะผู้ซื้อการที่จำเลยที่ 1 เบิกความต่อศาลแพ่งในคดีแพ่งว่า ส. ได้ขายที่ดินโฉนดเลขที่ 77 ให้แก่จำเลยที่ 1ในราคา 70,000 บาทชำระเงินเรียบร้อยแล้วและได้เข้าครอบครองมา 20 ปีเศษเพื่อให้ศาลแพ่งมีคำสั่งว่าที่ดินดังกล่าวเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 โดยการครอบครองปรปักษ์คำเบิกความของจำเลยที่ 1 จึงเป็นความเท็จอันเป็นข้อสำคัญในคดี ฟ้องของโจทก์บรรยายว่า คำเบิกความของจำเลยในคดีแพ่งเป็นข้อสำคัญในคดีและคำเบิกความของจำเลยดังกล่าวเป็นเหตุให้ศาลหลงเชื่อจึงมีคำสั่งให้ที่ดินโฉนดเลขที่ 77 ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1เป็นการบรรยายให้เห็นว่าคำเบิกความของจำเลยเป็นข้อสำคัญในคดีอย่างไรพอที่จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้วฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องที่สมบูรณ์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 และนายเจริญเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินโฉนดเลขที่ 77 โดยซื้อมาจากเจ้าของกรรมสิทธิ์เดิม ต่อมานายเจริญถึงแก่กรรมโจทก์ที่ 2 ได้เป็นผู้จัดการมรดกของนายเจริญตามคำสั่งของศาลแพ่ง จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันเอาความเท็จไปเบิกความในการพิจารณาคดีในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 5802/2523 ของศาลแพ่ง โดยจำเลยที่ 1 เบิกความว่า เมื่อ พ.ศ. 2493 นางเสมมารดาจำเลยที่ 1 ได้ขายที่ดินโฉนดดังกล่าวให้จำเลยที่ 1 ในราคา 70,000 บาท จำเลยที่ 1 ตกลงซื้อและชำระเงินให้มารดาจำนวน 70,000 บาท จำเลยที่ 1 เข้าปลูกบ้านในที่ดินดังกล่าว ไม่มีผู้ใดเกี่ยวข้อง จำเลยที่ 1 ครอบครองที่ดินมา 20 ปีเศษและได้กรรมสิทธิ์ ส่วนจำเลยที่ 2เบิกความว่า จำเลยที่ 2 ทราบและรู้เห็นการที่มารดาขายที่ดินโฉนดที่ 77 แขวงประเวศให้แก่จำเลยที่ 1 ราคา 70,000 บาท ซึ่งคำเบิกความของจำเลยทั้งสองดังกล่าวเป็นข้อสำคัญในคดีเป็นเหตุให้ศาลแพ่งหลงเชื่อ มีคำสั่งให้ที่ดินแปลงดังกล่าวตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย ความจริงแล้วจำเลยที่ 1 ไม่ได้ซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 77 จากนางเสมขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177, 83
ระหว่างไต่สวนมูลฟ้อง จำเลยที่ 2 ถึงแก่ความตายศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 2 และเมื่อไต่สวนเสร็จแล้วเห็นว่าคดีมีมูลให้ประทับฟ้องไว้พิจารณา
จำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธ
ระหว่างการพิจารณาโจทก์ที่ 1 ถึงแก่ความตาย นายวินัยสามีได้เข้าดำเนินคดีต่างผู้ตาย
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอายามาตรา 177 ให้จำคุก
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 77 เป็นกรรมสิทธิ์ของนางเสมมารดาจำเลยที่ 1 นายมะหะหมัดและเด็กชายมูมินมาตั้งแต่พ.ศ. 2484 เมื่อ พ.ศ. 2508 บุคคลทั้งสามได้ทำนิติกรรมให้นายสมานเข้ามามีกรรมสิทธิ์รวม 800 ส่วนในจำนวน 10108 ส่วน และในปีเดียวกันนั้นซึ่งเป็นปีที่นายมูมินบรรลุนิติภาวะบุคคลทั้งสามได้ร่วมกันเอาที่ดินแปลงนี้เฉพาะส่วนของบุคคลทั้งสามไปจำนองไว้กับธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด ต่อมาได้ร่วมกันไถ่ถอนจำนองและโอนขายให้แก่โจทก์ที่ 1 และนายเจริญเมื่อ พ.ศ. 2511 กับฟังว่าจำเลยที่ 1 ไม่ได้ซื้อที่ดินจากนางเสมและไม่ได้ครอบครองที่ดินด้วยเจตนาเป็นเจ้าของในฐานะผู้ซื้อ ดังนั้น การที่จำเลยที่ 1 เบิกความต่อศาลแพ่งในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 5802/2523 คดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 6824/2523 ว่านางเสมขายที่ดินโฉนดเลขที่ 77 ให้แก่จำเลยที่ 1ในราคา 70,000 บาท จำเลยที่ 1 ได้ชำระเงินให้นางเสมเรียบร้อยแล้ว และได้เข้าครอบครองมา 20 ปีเศษ เพื่อให้ศาลแพ่งมีคำสั่งว่าที่ดินดังกล่าวเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 โดยการครอบครองปรปักษ์ คำเบิกความของจำเลยที่ 1 จึงเป็นความเท็จอันเป็นข้อสำคัญในคดี
ปัญหาเรื่องฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ เห็นว่าคำฟ้องของโจทก์ไม่ได้บรรยายแต่เพียงว่า คำเบิกความของจำเลยในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 5802/2523 คดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 6824/2523 เป็นข้อสำคัญในคดีเท่านั้น โจทก์ยังบรรยายข้อความติดต่อกันไปให้เห็นว่า เพราะคำเบิกความของจำเลยดังกล่าวเป็นเหตุให้ศาลแพ่งหลงเชื่อ และมีคำสั่งให้ที่ดินโฉนดเลขที่ 77 ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 อีกด้วยเป็นการบรรยายให้เห็นว่า คำเบิกความของจำเลยเป็นข้อสำคัญในคดีอย่างไร พอที่จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว ฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องที่สมบูรณ์
พิพากษายืน