คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4012/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 3 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 3ขับรถไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 และรถคันที่จำเลยที่ 3 ขับได้ประกันภัยไว้กับจำเลยที่ 1 เมื่อจำเลยที่ 3 กับผู้ตายขับรถชนกันโดยประมาทไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน จำเลยทั้งสามกับผู้ตายจะต้องรับผิดต่อโจทก์ที่ 1 เจ้าของรถคันที่ผู้ตายขับซึ่งเป็นบุคคลภายนอกเท่ากันแต่โจทก์ที่ 1 ไม่ได้ฟ้องผู้ตายให้ร่วมรับผิดใช้ค่าเสียหายด้วยจำเลยทั้งสามก็ควรจะรับผิดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ที่ 1 เพียงกึ่งหนึ่ง และเนื่องจากหนี้ดังกล่าวเป็นหนี้ที่ไม่อาจแบ่งแยกชำระได้แม้จำเลยที่ 2 ที่ 3 ไม่อุทธรณ์ฎีกาก็ให้มีผลถึงจำเลยที่ 2 ที่ 3ด้วย ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 245(1) ความรับผิดระหว่างจำเลยทั้งสามกับโจทก์ที่ 2 ภริยาของผู้ตาย โจทก์ที่ 3 บุตรของผู้ตายจึงต้องเป็นพับ กันไป.

ย่อยาว

คดีทั้งสามสำนวนศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้รวมการพิจารณาและพิพากษา
สำนวนแรกโจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2522 จำเลยที่ 1ลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ขับรถยนต์บรรทุกคันหมายเลขทะเบียน น.ฐ. 26615ซึ่งจำเลยที่ 1 รับประกันภัยไว้ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ไปตามถนนเพชรเกษมด้วยความประมาท เมื่อถึงกิโลเมตรที่ 99-100 ตำบลโคกหม้อ อำเภอเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี เป็นถนนทางโค้งมีทางรถไฟตัดผ่านกับถนนเพชรเกษมมีเครื่องกั้นและเครื่องให้สัญญาณปิดกั้นอยู่และรถไฟกำลังแล่นผ่าน พนักงานรถไฟได้ให้สัญญาณไฟและเสียง และนำแผงปิดกั้นรถยนต์ลงเพื่อกั้นมิให้รถยนต์แล่นผ่าน จำเลยที่ 3 เห็นสัญญาณดังกล่าวแล้วไม่ได้ชะลอหรือหยุดรถเพื่อรอให้รถไฟแล่นผ่านไปก่อน ขับรถยนต์ด้วยความเร็วฉวัดเฉวียนหักหลบสัญญาณกั้นถนนเข้าไปในทางจราจรของรถที่แล่นสวนทางมาเพื่อให้พ้นเครื่องกั้นถนนเป็นเหตุให้รถยนต์เสียหลักพุ่งเข้าชนรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ร.บ. 16562ของโจทก์ที่ 1 มีนายวิวัฒน์ มังคลรังษี สามีโจทก์ที่ 2 และบิดาโจทก์ที่ 3 เป็นผู้ขับและรอสัญญาณรถไฟอยู่ เป็นเหตุให้รถยนต์ของโจทก์ที่ 1 เสียหาย นายวิวัฒน์ถึงแก่ความตาย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ 1 เป็นเงิน 250,000 บาทโจทก์ที่ 2 เป็นเงิน 350,000 บาท และโจทก์ที่ 3 เป็นเงิน 400,000บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,000,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 ให้การว่า นายวิวัฒน์ มังคลรังษี ขับรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ร.บ. 16562 ด้วยความประมาทด้วยความเร็วสูงไม่ชะลอความเร็วและหยุดรถเมื่อถึงหัวเลี้ยวทางแยกซึ่งมีป้ายจราจรให้หยุดดูซ้ายขวาให้ปลอดภัยเสียก่อน เลี้ยวขวาตัดหน้ารถยนต์บรรทุกคันหมายเลขทะเบียน น.ฐ. 26615 ซึ่งวิ่งมาทางตรง จำเลยที่ 3 ไม่ใช่ลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ผู้เอาประกันภัย อย่างไรก็ตามจำเลยที่ 1 จะรับผิดตามสัญญากรมธรรม์ประกันภัย ในกรณีที่รถยนต์ดังกล่าวก่อความเสียหายแก่บุคคลภายนอกไม่เกิน 100,000 บาท และต่อชีวิตร่างกายของบุคคลภายนอกครั้งละไม่เกิน 10,000 บาท ค่าเสียหายที่โจทก์ทั้งสามฟ้องสูงเกินสมควร ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การ ส่วนจำเลยที่ 3 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
สำนวนหลัง จำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นโจทก์ฟ้องโจทก์ที่ 2 เป็นจำเลย โดยฟ้องว่า นายวิวัฒน์ มังคลรังษี สามีของโจทก์ที่ 2 ขับรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ร.บ. 16562 ด้วยความเร็วสูงและประมาทตัดหน้ารถยนต์บรรทุกคันหมายเลขทะเบียน น.ฐ. 26615 เป็นเหตุให้รถทั้งสองคันดังกล่าวชนกัน รถยนต์บรรทุกคันหมายเลขทะเบียน น.ฐ. 26615ได้รับความเสียหาย ค่าเสียหายของจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 5,868 บาทและของจำเลยที่ 2 เป็นเงิน 52,500 บาท และขอคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันละเมิดถึงวันฟ้อง ของจำเลยที่ 1เป็นเงิน 36,510 บาท ของจำเลยที่ 2 เป็นเงิน 4,937.50 บาท ขอบังคับให้โจทก์ที่ 2 ชดใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยที่ 1 เป็นเงิน 6,233.10บาท จำเลยที่ 2 เป็นเงิน 57,437.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน 5,868 บาท และ 52,500 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
โจทก์ที่ 2 ให้การว่า เหตุรถชนกันเกิดเพราะความประมาทของจำเลยที่ 3 ค่าเสียหายที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 เรียกร้องสูงเกินสมคว
ระหว่างพิจารณาจำเลยที่ 2 ถึงแก่ความตาย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ทายาทของจำเลยที่ 2 เข้าเป็นคู่ความแทนจำเลยที่ 2 ในสำนวนแรกส่วนสำนวนหลังศาลชั้นต้นสั่งจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นโจทก์ฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ 1 จำนวน 150,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ โดยให้จำเลยที่ 1ร่วมรับผิดในค่าเสียหายดังกล่าวจำนวน 100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ 2 ที่ 3 รวมกัน430,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จโดยให้จำเลยที่ 1 ร่วมรับผิดในค่าเสียหายดังกล่าวจำนวน 10,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ คดีสำนวนที่สองให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า โจทก์ที่1 เป็นเจ้าของรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ร.บ. 16562 โจทก์ที่ 2เป็นภริยาของนายวิวัฒน์ มังคลรังษี ผู้ตายโดยชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ที่ 3 เป็นบุตรผู้ตายกับโจทก์ที่ 2 จำเลยที่ 1 เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์บรรทุกคันหมายเลขทะเบียน น.ฐ. 26615 จำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของรถยนต์ดังกล่าว และเป็นผู้เอาประกันภัยรถยนต์ดังกล่าวไว้กับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 3 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 3ขับรถยนต์คันดังกล่าวไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 และเกิดชนกันกับรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ร.บ. 16562 ซึ่งมีผู้ตายเป็นคนขับได้รับความเสียหาย และจำเลยที่ 1 ซ่อมรถยนต์บรรทุกคันหมายเลขทะเบียน น.ฐ. 26615 เป็นเงิน 5,868 บาท…
ในปัญหาที่ว่า โจทก์ที่ 1 เสียค่าซ่อมรถยนต์คันหมายเลขทะเบียนร.บ. 16562 จำนวนเท่าใดนั้น… ที่ศาลล่างกำหนดค่าเสียหายรถของโจทก์ที่ 1 มานั้นเหมาะสมแล้ว แต่เนื่องจากผู้ตายและจำเลยที่ 3ประมาทด้วยกัน โจทก์ที่ 1 เป็นบุคคลภายนอก ผู้ตายและจำเลยจะต้องรับผิดต่อโจทก์ที่ 1 โจทก์ที่ 1 ไม่ได้ฟ้องผู้ตายให้ร่วมรับผิดใช้ค่าเสียหายด้วย จำเลยก็ควรจะรับผิดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ที่ 1เพียงกึ่งหนึ่ง ดังนั้นจำเลยทั้งสามจึงต้องร่วมรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ 1 จำนวน 75,000 บาท แต่เนื่องจากหนี้ดังกล่าวเป็นหนี้ที่ไม่อาจแบ่งแยกชำระได้ แม้จำเลยที่ 2 ที่ 3 ไม่อุทธรณ์ฎีกาก็ให้มีผลถึงจำเลยที่ 2 ที่ 3 ด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 245(1) และเมื่อฟังว่าผู้ตายมีส่วนขับรถยนต์โดยประมาทไม่ยิ่งหย่อนกว่าจำเลยที่ 3ดังกล่าวแล้ว ความรับผิดระหว่างจำเลยทั้งสามกับโจทก์ที่ 2 ที่ 3จึงต้องเป็นพับกันไป จำเลยทั้งสามไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ที่ 2 ที่ 3
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ที่ 2 ที่ 3 ในสำนวนแรกและให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ 1 จำนวน75,000 บาท นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share