แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
ในคดีอาญาโจทก์ฟ้องจำเลยร่วมและ ป. ในข้อหาปลอมและใช้เอกสารปลอมส่วนในคดีแพ่ง โจทก์ฟ้องเรียกเงินตามสัญญาฝากทรัพย์ แล้วจำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลเรียกจำเลยร่วมเข้ามาในคดีตาม ป.วิ.พ. ทั้งนี้สิทธิของโจทก์ที่จะฟ้องคดีแพ่งไม่ต้องอาศัยมูลความผิดทางอาญาฐานปลอมและให้เอกสารปลอมแต่อย่างใด จึงมิใช่เป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา เพราะคดีแพ่งเกี่ยวกับคดีอาญานั้น หมายความถึงการที่จำเลยไปกระทำความผิดในทางอาญาและก่อให้เกิดความเสียหายในทางแพ่งเกี่ยวพันโดยตรงขึ้นมา เมื่อมิใช่คดีแพ่งเกี่ยวกับคดีอาญาแล้ว จึงไม่จำต้องฟังข้อเท็จจริงในส่วนอาญามาผูกพันทางแพ่ง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของนายสอย ผู้ตาย เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2535 ผู้ตายทำสัญญาฝากเงินไว้กับจำเลย สาขาคลองสาน ประเภทบัญชีเงินฝากประจำ 3 เดือน บัญชีเลขที่ 1512232099 โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกติดต่อขอเบิกถอนเงินของผู้ตายจากจำเลยเพื่อนำไปแบ่งให้แก่ทายาท แต่จำเลยปฏิเสธไม่ยอมคืนเงินดังกล่าวให้โจทก์ โดยอ้างว่ามิใช่เงินของผู้ตายทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 2,400,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยเงินฝากจำนวน 56,425.13 ให้แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาจำเลยยื่นคำร้องขอให้เรียกนายวัฒนา เข้ามาเป็นจำเลยร่วม ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต
จำเลยร่วมให้การและฟ้องแย้งว่า เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2534 นายสอบ ผู้ตาย และจำเลยร่วมได้ทำสัญญาฝากเงิน ไว้กับจำเลยที่สาขาคลองสาน ประเภทบัญชีเงินฝากประจำ 3 เดือน บัญชีเลขที่ 1512232099 เป็นเงิน 2,800,000 บาท เงินในบัญชีดังกล่าวเป็นของจำเลยร่วมครึ่งหนึ่ง เมื่อผู้ตายถึงแก่ความตาย จำเลยร่วมได้แจ้งให้โจทก์ถอนเงินฝากในบัญชีดังกล่าวเพื่อแบ่งให้จำเลยร่วมครึ่งหนึ่งแต่โจทก์ไม่ยินยอมเพราะต้องการถอนเงินเป็นของโจทก์เพียงผู้เดียว การกระทำของโจทก์ทำให้จำเลยร่วมเสียหาย และเป็นการโต้แย้งสิทธิของจำเลยร่วม ขอให้ยกฟ้องโจทก์ และบังคับให้โจทก์แบ่งเงินจากบัญชีเงินฝากข้างต้น 1,200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยเงินฝากจำนวน 28,212.56 บาท ให้แก่จำเลยร่วม และชำระดอกเบี้ยจำนวนกึ่งหนึ่งจากดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงิน 2,456,423.13 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำนวนเงินซึ่งเปิดบัญชีครั้งแรกจำนวน 2,800,000 บาท เป็นของนายสอย ผู้ตาย แต่เพียงผู้เดียว โดยได้มาจากการขายทรัพย์สิน ไม่มีเงินของจำเลยร่วมรวมอยู่แต่อย่างใด ขอให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยร่วม
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 2,456,423.13 บาท ให้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องวันที่ 25 สิงหาคม 2542 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยและจำร่วมร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท ให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยร่วม
จำเลยร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้จำเลยร่วมใช้ค่าทนายความในชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์เป็นเงิน 5,000 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมส่วนที่เกี่ยวกับฟ้องแย้งในศาลชั้นต้นให้เป็นพับ
จำเลยร่วมฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…ที่จำเลยร่วมฎีกาว่า ก่อนคดีนี้โจทก์ได้ฟ้องจำเลยร่วมและนางปราณี เป็นจำเลยในคดีอาญาข้อหาปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอมศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง โดยให้เหตุผลว่าพยานโจทก์ไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่าจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1871/2546 ของศาลอาญาธนบุรี คดีนี้เป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา จึงต้องฟังข้อเท็จจริงตามคดีอาญานั้น เห็นว่า ในคดีอาญานั้นโจทก์ฟ้องจำเลยร่วมและนางปราณีในข้อหาปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอม ส่วนในคดีแพ่งนี้โจทก์เรียกเงินตามสัญญาฝากทรัพย์แล้วจำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลเรียกจำเลยร่วมเข้ามาในคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ทั้งนี้สิทธิของโจทก์ที่จะฟ้องคดีนี้ไม่ต้องอาศัยมูลความผิดทางอาญาฐานปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอมแต่อย่างใด คดีนี้จึงมิใช่เป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา เพราะคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญานั้น หมายความถึงการที่จำเลยไปกระทำความผิดในทางอาญาและก่อให้เกิดความเสียหายในทางแพ่งเกี่ยวพันกันโดยตรงขึ้นมา เมื่อคดีนี้มิใช่คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาแล้ว จึงไม่จำน้องฟังข้อเท็จจริงในส่วนคดีอาญาผูกพันทางแพ่ง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้โจทก์ชนะคดีมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยร่วมฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ให้จำเลยร่วมใช้ค่าทนายความชั้นฎีกาแทนโจทก์ เป็นเงิน 5,000 บาท