คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3886/2552

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

เมื่อสัญญาจะซื้อจะขายระหว่างจำเลยกับ บ. เป็นสัญญาต่างตอบแทนที่จำเลยและ บ. จะต้องปฏิบัติการชำระหนี้ให้แก่กันและกัน โดย บ. ผ่อนชำระให้จำเลยแล้วบางส่วน อันเป็นการปฏิบัติการชำระหนี้ให้แก่จำเลยไปแล้ว จำเลยก็ต้องทำการชำระหนี้ตอบแทนตามที่จะพึงต้องทำภายในเวลาอันสมควร อันได้แก่การต้องลงมือก่อสร้างบ้านตามที่ตกลงไว้ในสัญญา เมื่อจำเลยยังไม่ได้ลงมือก่อนสร้างบ้าน ถือว่า จำเลยไม่ปฏิบัติการชำระหนี้เป็นการตอบแทน จำเลยย่อมตกเป็นผู้ผิดสัญญาตั้งแต่นั้นมา จึงไม่ต้องคำนึงว่าระยะเวลา 15 วัน ที่โจทก์กำหนดไว้ในหนังสือให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาเป็นเวลาพอสมควรหรือไม่ แม้หนังสือบอกเลิกสัญญาไม่ระบุข้อความว่า บ. พร้อมที่จะชำระเงินดาวน์ส่วนที่เหลือ ก็ไม่ทำให้หนังสือบอกเลิกสัญญามาชอบแต่อย่างใด เพราะข้อความดังกล่าวไม่ใช่สาระสำคัญของการบอกเลิกสัญญาหนังสือบอกเลิกสัญญาชอบแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 มีอำนาจแต่งตั้งพนักงานอัยการเป็นเจ้าหน้าที่คุ้มครองผู้บริโภคเพื่อดำเนินคดีแพ่งและคดีอาญาแก่ผู้กระทำการละเมิดสิทธิของผู้บริโภคในศาล โดยได้รับความเห็นชอบจากอัยการสูงสุด จำเลยเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทมหาชนจำกัด และจัดทำโครงการก่อสร้างบ้านพักอาศัยแบบทาวน์เฮ้าส์ 2 ชั้น บนที่ดินโฉนดเลขที่ 1770 ของจำเลย ใช้ชื่อว่า โครงการรังสิยา รังสิต คลอง 2 จำเลยโฆษณาขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวให้แก่ประชาชนทั่วไป ทำให้ผู้บริโภค 3 ราย คือนางสาวบานเย็น หรือสุกัญญา นางวันเพ็ญ และนายสมบัติ กับนางสาวมะลิ หลงเชื่อเข้าจองและทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างกับจำเลย หลังจากทำสัญญา ผู้บริโภคทั้งสามรายชำระเงินค่าที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้จำเลย แต่จำเลยมิได้ดำเนินการก่อสร้างบ้านให้แล้วเสร็จตามสัญญาอันเป็นการละเมิดสิทธิของผู้บริโภค ก่อนฟ้องคดีนี้โจทก์ได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้บริโภครายอื่นว่า จำเลยกระทำผิดสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างในโครงการ รังสิยา รังสิต คลอง 2 โจทก์เห็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นการผิดสัญญา อันเป็นละเมิดสิทธิของผู้ร้องเรียน จึงมีมติให้เจ้าหน้าที่คุ้มครองผู้บริโภคดำเนินคดีแพ่งกับจำเลยแทนผู้ร้องเรียน และดำเนินคดีแทนผู้บริโภครายอื่นที่จะมาร้องเรียนด้วย ต่อมาผู้บริโภคทั้งสามรายได้ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อโจทก์ให้ดำเนินคดีแก่จำเลยและมอบอำนาจให้สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคและเลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคบอกเลิกสัญญาแก่จำเลยและเรียกเงินคืน เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคจึงมีหนังสือแจ้งให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาภายใน 15 วัน หากไม่ปฏิบัติตามภายในกำหนดถือว่าจำเลยผิดสัญญาและให้ถือเอาหนังสือดังกล่าวเป็นการบอกเลิกสัญญา แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 215,300 บาท แก่นางสาวบานเย็น หรือสุกัญญา ชำระเงินจำนวน 87,300 บาท แก่นางวันเพ็ญ และชำระเงินจำนวน 94,900 บาท แก่นายสมบัติและนางสาวมะลิ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 17 กรกฎาคม 2540 วันที่ 14 ธันวาคม 2539 และวันที่ 11 มีนาคม 2541 ตามลำดับ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องและโจทก์ไม่มีเอกสารมาแสดงว่าผู้บริโภคทั้งสามรายมอบอำนาจให้โจทก์ฟ้องคดี จำเลยไม่ได้ผิดสัญญา แต่ผู้บริโภคเป็นฝ่ายผิดสัญญาเนื่องจากชำระเงินดาวน์ไม่ครบตามสัญญา ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 214,300 บาท แก่นางสาวบานเย็นหรือสุกัญญา ชำระเงินจำนวน 87,300 บาท แก่นางวันเพ็ญ และชำระเงินจนวน 94,900 บาท แก่นายสมบัติ และนางสาวมะลิ ผู้บริโภค พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินที่ต้องชำระแก่ผู้บริโภคแต่ละราย นับแต่วันที่ 4 เมษายน 2543 เป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จแก่ผู้บริโภค ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 214,300 บาท นับแต่วันที่ 17 กรกฎาคม 2540 แก่นางสาวบานเย็นหรือสุกัญญา ของต้นเงิน 87,300 บาท นับแต่วันที่ 14 ธันวาคม 2539 แก่นางวันเพ็ญ ของต้นเงิน 94,900 บาท นับแต่วันที่ 11 มีนาคม 2541 แก่นายสมบัติและนางมะลิ (ที่ถูก นางสาวมะลิ) เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะชำระต้นเงินแต่ละรายเสร็จสิ้น โจทก์ฟ้องคดีโดยได้รับการยกเว้นค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงจึงไม่กำหนดค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ให้ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ในส่วนของจำเลยให้เป็นพับ นอกจากที่แก้คงเป็นไปตามีคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภควินิจฉัยว่า “…คดีสำหรับนางวันเพ็ญ นายสมบัติ และนางสาวมะลิ ซึ่งศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา จึงถึงที่สุดฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ ที่จำเลยฎีกาว่า พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2539 (ที่ถูก พ.ศ. 2522) มาตรา 39 วรรคหนึ่ง ไม่มีข้อความตอนใดที่ระบุว่า หากมีการละเมิดสิทธิต่อผู้บริโภคแล้ว โจทก์สามารถดำเนินคดีแทนผู้บริโภคได้โดยไม่ต้องมอบอำนาจอีก อันเป็นการยกเว้นหลักประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 801 (5) ที่ระบุไว้ชัดว่า การฟ้องคดีนั้นจะต้องมีการมอบอำนาจให้ชัดแจ้งเสียก่อนก็ดี หรือฎีกาว่านางสาวบานเย็นหรือสุกัญญา ทำบันทึกคำร้องเรียนและหนังสือมอบอำนาจที่ระบุแต่เพียงให้โจทก์มีอำนาจบอกเลิกสัญญาและเรียกเงินคืนเท่านั้น ตอนใดที่ให้โจทก์มีอำนาจฟ้องคดีก็ดี ฟ้องโจทก์จึงไม่ชอบนั้น เห็นว่า พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 มาตรา 39 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ในกรณีที่คณะกรรมการเห็นสมควรเข้าดำเนินคดีเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิของผู้บริโภคหรือเมื่อได้รับคำร้องขอจากผู้บริโภคที่ถูกละเมิดสิทธิ ซึ่งคณะกรรมการเห็นว่าการดำเนินคดีนั้นจะเป็นประโยชน์แก่ผู้บริโภคเป็นส่วนรวม คณะกรรมการมีอำนาจแต่งตั้งพนักงานอัยการโดยความเห็นชอบของอธิบดีกรมอัยการ หรือ… เป็นเจ้าหน้าที่คุ้มครองผู้บริโภคในศาล และเมื่อคณะกรรมการได้แจ้งไปยังกระทรวงยุติธรรมเพื่อแจ้งให้ศาลทราบแล้ว ให้เจ้าหน้าที่คุ้มครองผู้บริโภคมีอำนาจดำเนินคดีตามที่คณะกรรมการมอบหมายได้” ตามบทบัญญัติของมาตราดังกล่าวกำหนดไว้ชัดแจ้งในการที่โจทก์จะดำเนินคดีแก่ผู้กระทำการละเมิดสิทธิของผู้บริโภคไว้สองกรณี กรณีแรก เมื่อโจทก์เห็นสมควรเข้าดำเนินคดีเอง กรณีที่สอง เมื่อได้รับคำร้องขอจากผู้บริโภค ทั้งนี้อยู่ในเงื่อนไขว่า การดำเนินคดีนั้นจะเป็นประโยชน์แก่ผู้บริโภคเป็นส่วนรวมเท่านั้น เมื่อข้อเท็จจริงในคดีนี้ได้ความว่า โจทก์ได้รับคำร้องเรียนจากผู้บริโภคที่ถูกละเมิดสิทธิและมีการแต่งตั้งพนักงานอัยการเป็นเจ้าหน้าที่คุ้มครองผู้บริโภคแล้ว โดยความเห็นชอบของอธิบดีกรมอัยการในขณะนั้นให้เป็นเจ้าหน้าที่คุ้มครองผู้บริโภคและโจทก์ได้แจ้งไปยังกระทรวงยุติธรรมเพื่อแจ้งให้ศาลทราบแล้ว ย่อมถือว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องแล้ว โดยไม่จำต้องให้ผู้บริโภคมอบอำนาจแต่อย่างใด โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการสุดท้ายว่า จำเลยผิดสัญญาหรือไม่ ที่จำเลยฎีกาว่า สัญญาจะซื้อจะขายระหว่างจำเลยกับนางสาวบานเย็นหรือสุกัญญาเป็นสัญญาต่างตอบแทน และไม่ได้กำหนดระยะเวลาชำระหนี้กันไว้ เมื่อนางสาวบานเย็นหรือสุกัญญายังชำระเงินดาวน์ไม่ครบถ้วน จำเลยย่อมมีสิทธิชะลอการก่อสร้างไว้ได้ จะถือว่าจำเลยผิดนัดยังไม่ได้นั้น เห็นว่า สัญญาจะซื้อจะขายเป็นสัญญาต่างตอบแทนที่จำเลยและนางสาวบานเย็นหรือสุกัญญาจะต้องปฏิบัติการชำระหนี้ให้แก่กันและกัน เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า นางสาวบานเย็นหรือสุกัญญา ผ่อนชำระให้จำเลยแล้วเป็นเงิน 214,300 บาท อันเป็นการปฏิบัติการชำระหนี้ให้แก่จำเลยไปแล้ว จำเลยก็ต้องทำการชำระหนี้ตอบแทนตามที่จะพึงต้องทำภายในเวลาอันสมควร อันได้แก่การต้องลงมือก่อสร้างบ้านตามที่ตกลงไว้ในสัญญา เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยยังไม่ได้ลงมือก่อสร้างบ้าน เช่นนี้ถือว่า จำเลยไม่ปฏิบัติการชำระหนี้เป็นการตอบแทน จำเลยจึงตกเป็นผู้ผิดนัดผิดสัญญา ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือ ซึ่งไม่เพียงพอที่จำเลยจะปฏิบัติตามสัญญาได้ภายในกำหนดเวลาดังกล่าว หรือฎีกาว่าหนังสือดังกล่าวบอกเลิกสัญญาโดยไม่ระบุข้อความว่า นางสาวบานเย็นหรือสุกัญญาพร้อมที่จะชำระเงินดาวน์ส่วนที่เหลือหากจำเลยก่อสร้างบ้านเสร็จและโอนให้นางสาวบานเย็นหรือสุกัญญาได้ ทำให้จำเลยไม่เข้าใจเจตนาที่แท้จริงว่านางสาวบานเย็นหรือสุกัญญาต้องการบ้านหรือไม่ การบอกเลิกสัญญาของโจทก์จึงไม่ชอบนั้น เห็นว่าเมื่อนางสาวบานเย็นหรือสุกัญญายอมชำระเงินให้จำเลยอันเป็นการปฏิบัติการชำระหนี้ต่อจำเลยแล้ว แต่จำเลยไม่ได้ลงมือก่อสร้างบ้านเป็นการตอบแทนเช่นนี้จำเลยย่อมตกเป็นผู้ผิดนัดผิดสัญญาตั้งแต่นั้นมา จึงไม่ต้องคำนึงว่าระยะเวลา 15 วัน ที่กำหนดไว้ในหนังสือดังกล่าวเป็นเวลาพอสมควรหรือไม่ ส่วนที่หนังสือบอกเลิกสัญญาไม่ระบุข้อความว่านางสาวบานเย็นหรือสุกัญญาพร้อมที่จะชำระเงินดาวน์ส่วนที่เหลือก็ไม่ทำให้หนังสือบอกเลิกสัญญาไม่ชอบแต่ประการใด เพราะข้อความดังกล่าวไม่ใช่สาระสำคัญของการบอกเลิกสัญญา หนังสือบอกเลิกสัญญาชอบแล้ว จำเลยต้องรับผิดชดใช้เงินคืนนางสาวบานเย็นหรือสุกัญญา ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share