คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 342/2559

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นและให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์จำนวน 6,000 บาท แทนโจทก์ โดยไม่ได้สั่งเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมอื่น เป็นการไม่ชอบ เพราะคำสั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียม แม้จะไม่มีคำขอของคู่ความฝ่ายใดก็เป็นหน้าที่ของศาลจะต้องสั่งลงไว้ในคำพิพากษาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 167 วรรคหนึ่ง แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดกล่าวอ้าง ศาลฎีกาก็มีอำนาจแก้ไขให้ถูกต้องได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 1,290,963.89 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 1,230,107.29 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 1,290,963.89 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน จำนวน 1,230,107.29 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องเมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2557) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 เห็นว่า สำเนาหนังสือรับรอง เป็นเอกสารมหาชนซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ทำขึ้นหรือรับรอง ตามกฎหมายให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นของแท้จริงและถูกต้อง ดังนั้น ทั้งนางสุมาลีและนายอภิวัฒน์ จึงเป็นกรรมการผู้มีอำนาจของโจทก์ตามที่หนังสือรับรองระบุไว้ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง ส่วนปัญหาว่าจำเลยต้องรับผิดชำระหนี้ตามเช็คพิพาททั้งสามฉบับแก่โจทก์หรือไม่ เห็นว่า โจทก์มีนางสุมาลี กรรมการผู้มีอำนาจของโจทก์ เบิกความเป็นพยานโจทก์เกี่ยวกับมูลหนี้ตามเช็คพิพาททั้งสามฉบับ และยังเบิกความตอบคำถามค้านของทนายความจำเลยว่า เป็นผู้รับเช็คตามฟ้องทั้งสามฉบับมาจากบริษัทจำเลยด้วยตนเอง และเห็นขณะที่กรรมการบริษัทจำเลยลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คเนื่องจากไปรับเช็คด้วยตนเอง แสดงว่านางสุมาลีเป็นประจักษ์พยานโจทก์ มิใช่พยานบอกเล่าดังที่จำเลยกล่าวอ้าง ทั้งจำเลยเองก็ให้การยอมรับว่าเป็นเจ้าของเช็คทั้งสามฉบับและเป็นผู้ออกเช็คทั้งสามฉบับให้แก่โจทก์ แต่อ้างว่าเพื่อประกัน ค่าสินค้าที่ลูกค้าสั่งซื้อจากโจทก์ผ่านจำเลยแต่โจทก์ผิดสัญญา จำเลยจึงมีคำสั่งระงับการจ่ายเงินตามเช็ค แต่ปรากฏว่าจำเลยไม่สืบพยาน ประเด็นการออกเช็คเพื่อประกันค่าสินค้าจึงไม่สามารถรับฟังได้ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลยออกเช็คพิพาททั้งสามฉบับชำระหนี้แก่โจทก์ โจทก์จึงเป็นผู้ทรงเช็คพิพาททั้งสามฉบับตามฟ้อง เมื่อธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน จำเลยต้องรับผิดชำระหนี้ตามเช็คพิพาททั้งสามฉบับให้แก่โจทก์ พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ จำนวน 6,000 บาทแทนโจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ฎีกาของจำเลยที่ว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเนื่องจากนางสุมาลี ไม่ได้เป็นกรรมการผู้มีอำนาจของโจทก์และไม่ปรากฏหลักฐานการมอบอำนาจจากนายอภิวัฒน์ กรรมการอีกคนหนึ่งของโจทก์ในคำฟ้อง และจำเลยไม่ต้องรับผิดชำระหนี้ตามเช็คพิพาททั้งสามฉบับแก่โจทก์นั้น เห็นว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ได้วินิจฉัยปัญหาดังกล่าวไว้โดยชอบแล้วซึ่งศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น และให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์จำนวน 6,000 บาท แทนโจทก์ โดยไม่ได้สั่งเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมอื่น เป็นการไม่ชอบเพราะคำสั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียม แม้จะไม่มีคำขอของคู่ความฝ่ายใด ก็เป็นหน้าที่ของศาลจะต้องสั่งลงไว้ในคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 167 วรรคหนึ่ง แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดกล่าวอ้างศาลฎีกาก็มีอำนาจแก้ไขให้ถูกต้องได้
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาทั้งหมดให้แก่จำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกานอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ

Share