แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยขับรถยนต์บรรทุกซึ่งมีน้ำหนักบรรทุกเกินกว่าที่ทางราชการกำหนดถึง 9,300 กิโลกรัม มาเดินบนทางหลวงแผ่นดิน ให้ริบรถยนต์บรรทุกของกลาง.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยขับรถยนต์บรรทุกซึ่งกำหนดให้น้ำหนักยานพาหนะรวมน้ำหนักบรรทุกไม่เกิน 21,000 กิโลกรัม บรรทุกน้ำหนักเกินกำหนดดังกล่าว 9,300 กิโลกรัม แล่นไปตามทางหลวงแผ่นดินอันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมายเจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมยึดรถยนต์บรรทุกดังกล่าวเป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 295 ลงวันที่ 28 พฤศจิกายน 2515 ข้อ 56, 83 ประกาศผู้อำนวยการทางหลวงแผ่นดิน ลงวันที่ 14 ธันวาคม 2519ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 และริบรถยนต์บรรทุกของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 295 ข้อ 56, 83 ลงโทษจำคุก 2 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่งคงจำคุก 1 เดือนเปลี่ยนโทษจำคุกเป็นโทษกักขังแทน ส่วนรถยนต์บรรทุกของกลางยังไม่เห็นควรริบ ยกคำขอส่วนนี้ของโจทก์
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ริบรถยนต์บรรทุกของกลาง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาขอให้ริบรถยนต์บรรทุกของกลาง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “การที่จำเลยนำรถยนต์บรรทุกของกลางซึ่งมีน้ำหนักบรรทุกเกินกว่าที่ทางราชการกำหนดถึง 9,300 กิโลกรัมซึ่งมากกว่าร้อยละ 44 ของน้ำหนักรถยนต์และน้ำหนักบรรทุกที่ทางราชการกำหนดมาเดินบนทางหลวงแผ่นดินนอกจากจะทำความเสียหายแก่ทางสัญจรไปมาของประชาชน ทำให้รัฐต้องสิ้นเปลืองงบประมาณแผ่นดินในการบูรณะซ่อมแซมอันมีผลเป็นการทำลายเศรษฐกิจของชาติโดยส่วนรวมแล้ว ยังอาจก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรงต่อผู้ขับขี่ยานพาหนะหรือผู้ที่สัญจรไปมาอื่นบนทางหลวงแผ่นดินอีกด้วย การกระทำความผิดของจำเลยเป็นการกระทำโดยไม่คำนึงถึงความสูญเสียที่จะเกิดตามมาแก่ส่วนรวมและผู้อื่นเช่นนี้ จึงสมควรริบรถยนต์บรรทุกของกลางที่จำเลยใช้กระทำความผิด ที่ศาลอุทธรณ์ใช้ดุลพินิจไม่ริบรถยนต์บรรทุกของกลางนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นฟ้องด้วยฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ริบรถยนต์บรรทุกของกลาง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.