คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4006/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยนำกุญแจไปคล้อง ห้องพักที่โจทก์เช่าจากจำเลยเพราะโจทก์ไม่จ่ายเงินค่าเช่าล่วงหน้าทำให้โจทก์เข้าห้องไม่ได้ เมื่อโจทก์ได้ไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจว่าได้รับความเสียหายไม่สามารถเข้าห้องพักได้ ถือได้ว่าเป็นกรณีที่โจทก์กับจำเลยมีข้อพิพาทกันแล้ว รายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีที่จำเลยยอมจ่ายเงินให้แก่โจทก์จำนวน 20,000 บาท จึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850 และเมื่อสัญญาประนีประนอมยอมความตามรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีไม่มีข้อความที่โจทก์และจำเลยตกลงระงับคดีอาญาแผ่นดินแต่ประการใดคงกล่าวถึงเรื่องที่จำเลยนำกุญแจไปล็อกห้องที่โจทก์เช่าไว้ ทำให้โจทก์เข้าห้องไม่ได้ และได้รับความเสียหาย กับจำเลยทั้งสองตกลงที่จะชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ซึ่งเป็นเรื่องทางแพ่งเท่านั้นสัญญาประนีประนอมยอมความจึงไม่มีวัตถุที่ประสงค์ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๒๕ จำเลยทั้งสองได้กระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อต่อโจทก์โดยผิดกฎหมาย คือจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นเจ้าของกิจการห้องพักให้เช่า ได้ใช้ให้จำเลยที่ ๑ ลูกจ้างของจำเลยที่ ๒ นำกุญแจไปสวมไว้ที่ห้องพักที่โจทก์เช่า ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายไม่สามารถเข้าไปในห้องพักกับใช้สอยทรัพย์สินของโจทก์ที่อยู่ในห้องพักได้ เป็นการละเมิดต่อโจทก์ โจทก์จึงไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลดินแดง ต่อมาในคืนวันเดียวกันจำเลยทั้งสองได้ไปพบโจทก์ที่สถานีตำรวจนครบาลดินแดง ได้มีการตกลงในเรื่องการละเมิดและค่าเสียหายที่จำเลยทั้งสองกระทำต่อโจทก์ โดยจำเลยทั้งสองตกลงใช้ค่าเสียหายให้โจทก์เป็นเงิน ๒๐,๐๐๐ บาท กำหนดเวลาชำระในวันที่ ๒๖ เดือนเดียวกันที่สถานีตำรวจนครบาลดินแดงโดยได้ทำบันทึกลงในสมุดบันทึกประจำวันของสถานีตำรวจนครบาลดินแดง ลงวันที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๒๕ อันเป็นหลักฐานเป็นหนังสือสัญญาประนีประนอมยอมความ เมื่อถึงกำหนดจำเลยทั้งสองไม่ชำระเงินให้โจทก์ ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินให้โจทก์๒๑,๓๗๕ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี จากต้นเงิน ๒๐,๐๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ตกลงเช่าห้องพักตามคำฟ้องกับจำเลยที่ ๑ แต่ไม่ยอมชำระค่าเช่าตามสัญญาเช่า จำเลยที่ ๑จึงบอกเลิกสัญญากับโจทก์ พร้อมกับปิดห้องและริบเงินประกันโจทก์ไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลดินแดงในข้อหาบุกรุกโดยระบุว่าจำเลยที่ ๒ ใช้ให้จำเลยที่ ๑ นำกุญแจไปสวมไว้ที่ห้องพักโจทก์ ในที่สุดพนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องจำเลยทั้งสอง จำเลยทั้งสองมิได้ร่วมกันกระทำละเมิดต่อโจทก์ จำเลยทั้งสองไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์ และตามบันทึกประจำวันท้ายคำฟ้องไม่เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ และขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์๒๑,๓๗๕ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี จากต้นเงิน๒๐,๐๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คงมีปัญหาข้อกฎหมายที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองคือ เอกสารหมาย จ.๑ เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๘๕๐ หรือไม่ ทั้งนี้โดยจำเลยทั้งสองต่อสู้ว่าจำเลยทั้งสองมิได้กระทำละเมิดต่อโจทก์อันจะทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายโจทก์กับจำเลยทั้งสองจึงไม่มีกรณีพิพาทต่อกัน คดีนี้ต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน ซึ่งศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า ก่อนที่จำเลยทั้งสองจะนำลูกกุญแจไปคล้องห้องพักโจทก์ ได้มีข้อโต้แย้งกันเกี่ยวกับค่าเช่าห้องพักอยู่ก่อนแล้ว โดยฝ่ายโจทก์ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าตามกำหนดและขอให้ฝ่ายจำเลยหักเงินจากเงินประกันความเสียหายที่จำเลยเรียกเก็บไว้เมื่อฝ่ายจำเลยเห็นว่าฝ่ายโจทก์ไม่จ่ายเงินค่าเช่าล่วงหน้าให้จำเลยจึงนำกุญแจไปคล้องห้องพักโจทก์ไว้ ทำให้โจทก์เข้าห้องพักไม่ได้ และขณะที่ไปสถานีตำรวจครั้งแรกจำเลยมิได้โต้แย้งว่าบอกเลิกสัญญาเช่าซึ่งโจทก์ถือว่าเป็นละเมิด จากข้อเท็จจริงดังกล่าวศาลฎีกาเห็นว่า การที่จำเลยทั้งสองนำกุญแจไปคล้องห้องพักโจทก์ ทำให้โจทก์เข้าห้องพักไม่ได้ และโจทก์ได้ไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจว่า ได้รับความเสียหายไม่สามารถเข้าห้องพักได้ จนมีการทำรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดี เอกสารหมาย จ.๑ โดยจำเลยทั้งสองยอมจ่ายเงินให้แก่โจทก์ผู้เสียหายจำนวน ๒๐,๐๐๐ บาทถือได้ว่าเป็นกรณีที่โจทก์กับจำเลยทั้งสองมีข้อพิพาทกันแล้ว
ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า เอกสารหมาย จ.๑ มีวัตถุประสงค์ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน เพราะโจทก์มีเจตนาที่จะระงับคดีอาญาแผ่นดินนั้น ศาลฎีกาพิเคราะห์เอกสารหมายจ.๑ โดยตลอดแล้ว ไม่ปรากฏว่ามีข้อความที่โจทก์และจำเลยทั้งสองตกลงกันระงับคดีอาญาแผ่นดินแต่ประการใด คงกล่าวถึงเรื่องที่จำเลยทั้งสองกระทำละเมิดต่อโจทก์ โดยนำกุญแจไปล็อกห้องที่โจทก์เช่าไว้ ทำให้โจทก์เข้าห้องไม่ได้ และโจทก์ได้รับความเสียหายกับจำเลยทั้งสองตกลงที่จะชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ ซึ่งเป็นเรื่องทางแพ่งเท่านั้น สัญญาประนีประนอมยอมความตามเอกสารหมาย จ.๑จึงไม่มีวัตถุประสงค์ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนดังที่จำเลยทั้งสองฎีกาต่อสู้ขึ้นมา
จำเลยทั้งสองฎีกาอีกข้อหนึ่งว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมโดยโจทก์มิได้บรรยายให้จำเลยเห็นว่าโจทก์เสียหายอย่างไร กล่าวคือเป็นการเสียหายค่าอะไรทั้งนี้เพราะเอกสารหมาย จ.๑ มิได้ระบุว่าเป็นค่าเสียหายอะไรบ้าง และการที่จำเลยทั้งสองไปปิดกุญแจห้องเช่านั้นเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ หรือผิดอาญาฐานบุกรุกอันจะมีข้อพิพาทระหว่างกัน อันจะเกิดเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความและเอกสารดังกล่าวก็มิได้มีตอนใดที่บันทึกเกี่ยวกับการระงับข้อพิพาท ศาลฎีกาเห็นว่า ฎีกาของจำเลยทั้งสองในข้อนี้จำเลยมิได้ตั้งประเด็นข้อต่อสู้ไว้ในคำให้การ ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยให้
พิพากษายืน

Share