แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยเป็นเจ้าของรถยนต์ที่ให้เช่าซื้อ จึงมีหนี้ที่จะต้องให้โจทก์ซึ่งเป็นผู้เช่าได้ใช้หรือรับประโยชน์จากรถยนต์นั้น แต่โจทก์ได้รถยนต์ไปใช้เพียง 3 เดือนยังไม่ถึง 24 เดือนตามที่ตกลงในสัญญาเช่าซื้อโดยมิได้ผิดนัดไม่ใช้เงินแก่จำเลย ก็ถูกเจ้าหน้าที่ศุลกากรยึดรถยนต์ไปจำเลยไม่สามารถส่งมอบรถคืนให้โจทก์ได้อีก การชำระหนี้ของจำเลยคือต้องให้โจทก์ได้ใช้หรือรับประโยชน์ในรถยนต์คันนั้น กลายเป็นพ้นวิสัยเสียแล้ว โดยจะโทษฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ได้ จำเลยจึงไม่มีสิทธิที่จะได้รับชำระหนี้ตอบแทน คือเงินที่โจทก์ได้ชำระครั้งแรกให้จำเลยในวันทำสัญญาเช่าซื้อ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์นั่ง ๑ คันจากจำเลยราคา ๑๗๐,๐๐๐ บาท ชำระเงินในวันทำสัญญา ๕๐,๐๐๐ บาท ส่วนที่เหลือผ่อนชำระรายเดือน เดือนละ ๕,๐๐๐ บาท ๒๔ เดือน โจทก์ผ่อนชำระให้จำเลยไปแล้ว ๓ เดือนเป็นเงิน ๑๕,๐๐๐ บาท ครั้นเดือนตุลาคม ๒๕๑๒ กรมศุลกากรได้ยึดรถยนต์คันดังกล่าวไปจากโจทก์ โดยแจ้งว่าเป็นรถถูกลักลอบหนีศุลกากรเข้ามาในราชอาณาจักร โจทก์จึงหยุดชำระค่าเช่าซื้อและทวงถามให้จำเลยจัดการส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อให้โจทก์ จำเลยเพิกเฉยโจทก์จึงบอกเลิกสัญญาให้จำเลยคืนเงินที่รับไว้ โจทก์เสียหายซึ่งจำเลยจะต้องรับผิดชดใช้ดอกเบี้ยร้อยละสิบห้าต่อปีในต้นเงิน ๖๕,๐๐๐ บาทนับแต่วันบอกเลิกสัญญาถึงวันฟ้องเป็นเงิน ๖,๕๐๐ บาท ค่าเสียหายเนื่องจากโจทก์ไม่ได้ใช้รถเดือนละ ๑,๕๐๐ บาท นับแต่วันรถถูกยึดจนถึงวันที่โจทก์บอกเลิกสัญญาเป็นเงิน ๕,๑๐๐ บาท เงินที่โจทก์จ่ายครั้งแรก ๕๐,๐๐๐ บาท กับที่ผ่อนไปแล้ว ๓ เดือนเป็นเงิน ๑๕,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๗๖,๖๐๐ บาท จึงขอให้ศาลพิพากษาบังคับให้จำเลยชำระเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละสิบห้าต่อปีในต้นเงิน ๖๕,๐๐๐ บาท จากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์และโจทก์ผ่อนชำระค่าเช่าซื้อ๓ งวดแล้วจริง แต่รถยนต์ถูกยึดไปในขณะอยู่ในความครอบครองของโจทก์และขณะนี้ก็ยังยึดไว้ โจทก์ได้รับการปฏิบัติชำระหนี้จากจำเลยไปแล้วเมื่อมีเหตุการณ์เกิดขึ้นภายหลังก่อหนี้ที่ไม่ใช่ความผิดของจำเลยเกิดขึ้นจึงเป็นเหตุพ้นวิสัยอันจะโทษจำเลยไม่ได้ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิด มิใช่เรื่องจำเลยผิดสัญญาไม่จัดการส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อแก่โจทก์โจทก์ไม่มีเหตุหรือสิทธิที่จะบอกเลิกสัญญากับจำเลยได้ และตามสัญญาข้อ ๑๒ โจทก์ไม่มีสิทธิจะเรียกค่าเช่าซื้อที่ได้ชำระแล้วคืน โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ย โจทก์ได้ใช้รถของจำเลยถึง ๓ เดือน ได้ประโยชน์จากการใช้รถของจำเลยค่าเสียหายย่อมมีไม่ถึงตามฟ้อง ทั้งโจทก์ไม่เสียหายจริง
วันชี้สองสถาน คู่ความรับข้อเท็จจริงบางประการแล้ว โจทก์แถลงติดใจเรียกเฉพาะเงินที่ชำระให้จำเลยในวันทำสัญญา ๕๐,๐๐๐ บาท และค่าเช่าซื้อที่ผ่อนชำระไปแล้ว ๓ เดือนเป็นเงิน ๑๕,๐๐๐ บาทคืนกับดอกเบี้ยเท่านั้น คำขอข้ออื่นสละ ศาลชั้นต้นจึงให้งดสืบพยาน แล้วเห็นว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา เพราะไม่สามารถจะให้รถยนต์ตกเป็นของผู้เช่าซื้อได้จึงไม่มีอำนาจเอาเงิน ๕๐,๐๐๐ บาทที่โจทก์ชำระให้ในวันทำสัญญาส่วนค่าเช่าซื้อ ๓ เดือนนั้น โจทก์ได้รับประโยชน์จากรถคันนี้ตลอดมาแล้วโจทก์จึงไม่มีสิทธิรับเงินจำนวนนี้คืน พิพากษาให้จำเลยคืนเงิน ๕๐,๐๐๐ บาท กับดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันโจทก์บอกเลิกสัญญาจนกว่าจะชำระให้โจทก์เสร็จ
โจทก์อุทธรณ์ขอให้จำเลยคืนเงิน ๑๕,๐๐๐ บาทกับดอกเบี้ยด้วย
จำเลยอุทธรณ์ขอให้ยกฟ้องหรือย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาใหม่ในเรื่องอำนาจฟ้องและค่าเสียหาย
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า รถยนต์ถูกยึด จำเลยไม่สามารถส่งมอบให้โจทก์ได้อีกเป็นเรื่องทรัพย์สินที่ให้เช่าซื้อสูญหาย สัญญาเช่าซื้อระงับเมื่อโจทก์บอกเลิกสัญญา คู่สัญญาต้องกลับสู่ฐานะเดิม จำเลยจึงไม่มีสิทธิจะเอาเงิน ๕๐,๐๐๐ บาทไว้ได้ ส่วนค่าเช่าซื้อ ๓ เดือน ๑๕,๐๐๐ บาทควรแก่ค่าแห่งการใช้ประโยชน์แล้ว พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยในประเด็นเฉพาะเงิน ๕๐,๐๐๐ บาทที่โจทก์ได้ชำระให้จำเลยในวันทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ว่า อันว่าเช่าซื้อนั้นเป็นสัญญาซึ่งเจ้าของเอาทรัพย์สินออกให้เช่าและให้คำมั่นว่าจะขายทรัพย์สินนั้นหรือว่าจะให้ทรัพย์สินนั้นตกเป็นสิทธิแก่ผู้เช่า โดยเงื่อนไขที่ผู้เช่าได้ใช้เงินเป็นจำนวนเท่านั้นเท่านี้คราว ก็เมื่อจำเลยซึ่งอ้างว่าเป็นเจ้าของรถยนต์ที่ให้เช่าซื้อ มีหนี้ที่จะต้องให้โจทก์ซึ่งเป็นผู้เช่าได้ใช้หรือรับประโยชน์จากรถยนต์นั้น แต่โจทก์ได้รถยนต์ไปใช้เพียง ๓ เดือน ยังไม่ถึง ๒๔ เดือนตามที่ตกลงในสัญญาเช่าซื้อโดยมิได้ผิดนัดไม่ใช้เงินแก่จำเลยเลยก็ถูกเจ้าหน้าที่ศุลกากรยึดรถยนต์ไป โดยแจ้งว่าเป็นรถที่นำเข้ามาในประเทศโดยลักลอบหนีภาษี จำเลยไม่สามารถส่งมอบรถคืนให้โจทก์ได้อีก การชำระหนี้ของจำเลยคือต้องให้โจทก์ได้ใช้หรือรับประโยชน์ในรถยนต์คันนั้นกลายเป็นพ้นวิสัยเสียแล้วโดยจะโทษฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ได้จำเลยจึงไม่มีสิทธิที่จะรับชำระหนี้ตอบแทน คือเงิน ๕๐,๐๐๐ บาทนั้น
พิพากษายืน