แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องคดีโดยระบุที่อยู่จำเลยว่าอยู่บ้านเลขที่ 4/75 และดำเนินกระบวนพิจารณาตลอดมาตั้งแต่ต้นจนถึงวันนัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในครั้งแรกคือวันที่ 10 มิถุนายน 2541 โดยจำเลยไม่เคยแจ้งให้ศาลชั้นต้นทราบว่าจำเลยได้ย้ายภูมิลำเนาไปอยู่ที่บ้านเลขที่ 706/3ตามคำร้องแต่อย่างใด ที่จำเลยอ้างว่าได้ย้ายไปตั้งแต่วันที่ 26 กันยายน2539 นั้น ตามคำร้องขอถ่ายเอกสารที่จำเลยยื่นต่อศาลชั้นต้นลงวันที่ 25กุมภาพันธ์ 2540 ซึ่งจำเลยเป็นผู้เรียงเองก็ยังคงระบุไว้ชัดแจ้งว่าจำเลยอยู่บ้านเลขที่ 4/75 ตามฟ้องโจทก์ หาใช่บ้านเลขที่ 706/3 ดังที่จำเลยอ้างในคำร้องไม่ เมื่อภูมิลำเนาของจำเลยตามหลักฐานที่ปรากฏในสำนวนขณะที่ส่งหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้แก่จำเลยคือบ้านเลขที่ 4/75 ตามฟ้องโจทก์ การส่งหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้แก่จำเลยตามภูมิลำเนาดังกล่าวจึงชอบแล้ว
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องจากโจทก์และโจทก์ร่วมได้ฟ้องจำเลยต่อศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2538 ขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534มาตรา 4 และศาลชั้นต้นได้พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยมีกำหนด1 ปี จำเลยอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้น ต่อมาศาลชั้นต้นได้นัดคู่ความฟังคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ในวันที่ 10 มิถุนายน 2541 เวลา 9 นาฬิกา โดยศาลชั้นต้นได้มีหมายนัดถึงคู่ความและผู้ประกันตัวจำเลยให้ส่งตัวจำเลยมาศาลตามนัด สำหรับการส่งหมายนัดให้จำเลยนั้น ศาลชั้นต้นส่งให้จำเลยโดยการปิดหมายไว้ที่ภูมิลำเนาของจำเลยซึ่งระบุไว้ในชั้นพิจารณาของศาลชั้นต้นว่าอยู่ที่บ้านเลขที่ 4/75ซอยเผือกจิตร แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร เหตุที่ต้องปิดหมายเนื่องจากบ้านปิด ไม่มีผู้ใดรับแทน ส่วนผู้ประกันตัวจำเลยซึ่งมีทั้งหมด 3 คน ศาลชั้นต้นสามารถแจ้งวันนัดได้ 2 คน ส่วนอีก 1 คนส่งไม่ได้ ครั้นถึงวันเวลานัดจำเลยไม่มาศาลและผู้ประกันที่ทราบนัดแล้วก็ไม่ได้แจ้งเหตุขัดข้องในการส่งตัวจำเลยต่อศาลชั้นต้นตามนัด ศาลชั้นต้นจึงออกหมายจับจำเลยเพราะมีเหตุสงสัยว่าจำเลยจะหลบหนีแล้วให้เลื่อนไปนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในวันที่ 31 กรกฎาคม 2541 เวลา10 นาฬิกา ครั้นถึงวันนัดจำเลยและผู้ประกันที่ทราบนัดและที่ยังไม่ทราบนัดก็ไม่มาศาลอีกทั้งผู้ประกันที่ทราบนัดก็ไม่ได้แจ้งเหตุขัดข้องต่อศาลชั้นต้นศาลชั้นต้นจึงสั่งให้เลื่อนไปนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในวันที่ 22กันยายน 2541 เวลา 9 นาฬิกา และศาลชั้นต้นได้ออกหมายจับจำเลยซ้ำพร้อมกับประกาศวันนัดให้ผู้ประกันที่ทราบนัดแล้วทราบนัด โดยปิดประกาศหน้าศาลแทนการส่งหมายนัด ครั้งถึงวันเวลานัดจำเลยและผู้ประกันที่ทราบนัดไม่มาศาล โดยผู้ประกันดังกล่าวมิได้แจ้งเหตุขัดข้องให้ศาลชั้นต้นทราบ ศาลชั้นต้นจึงอ่านคำพิพากษาลับหลังจำเลยโดยถือว่าจำเลยทราบคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ตามกฎหมายแล้ว และให้ออกหมายจับจำเลยมาจัดการตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ต่อไป
ต่อมาวันที่ 4 มิถุนายน 2542 จำเลยได้ยื่นคำร้องขอฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ โดยอ้างว่าเมื่อวันที่ 26 กันยายน 2539 จำเลยได้ย้ายภูมิลำเนาจากบ้านเลขที่ 4/75 ซอยเผือกจิตร แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพมหานครไปยังบ้านเลขที่ 706/3 ซอยพหลโยธิน 32 แขวงลาดยาว เขตจตุจักรกรุงเทพมหานคร ดังนั้น เมื่อมีการส่งเอกสารหรือหมายศาลไปยังบ้านเลขที่4/75 ดังกล่าว จำเลยจึงไม่ทราบเรื่องเป็นเหตุให้จำเลยไม่ทราบว่าศาลชั้นต้นได้นัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และไม่ทราบว่าถูกออกหมายจับ อีกทั้งยังไม่ทราบเรื่องจากผู้ประกัน ถือว่าการที่ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ลับหลังจำเลย โดยถือว่าจำเลยทราบผลของคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้วนั้น เป็นการไม่ชอบ จำเลยจึงขอฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในวันที่ยื่นคำร้องดังกล่าว เพื่อที่จำเลยจะได้ใช้สิทธิฎีกาต่อไป
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วไม่อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้จำเลยฟังโดยมีคำสั่งว่าศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์วันที่ 22 กันยายน 2541และถือว่าจำเลยทราบคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้วในวันดังกล่าว
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยมีว่าศาลชั้นต้นแจ้งวันนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้แก่จำเลยโดยชอบแล้วหรือไม่ จำเลยอ้างในคำร้องขอฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ลงวันที่ 4มิถุนายน 2542 ว่า จำเลยย้ายที่อยู่จากบ้านเลขที่ 4/75 ซอยเผือกจิตรพหลโยธิน 23 ถนนพหลโยธิน แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพมหานครไปอยู่ที่บ้านเลขที่ 706/3 ซอยพหลโยธิน 32 แขวงลาดยาว เขตจตุจักรกรุงเทพมหานคร ตั้งแต่เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2539 หากมีเอกสารใด ๆส่งไปยังบ้านเลขที่ 4/75 ซอยเผือกจิตรฯ จำเลยจะไม่ทราบเรื่อง จำเลยจึงไม่ทราบเรื่องการนัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์นั้น เห็นว่า โจทก์ฟ้องคดีโดยระบุที่อยู่จำเลยว่าอยู่บ้านเลขที่ 4/75 ซอยเผือกจิตร แขวงลาดยาวเขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร และดำเนินกระบวนพิจารณาตลอดมาตั้งแต่ต้นจนถึงวันนัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในครั้งแรก คือวันที่ 10 มิถุนายน2541 โดยจำเลยไม่เคยแจ้งให้ศาลชั้นต้นทราบว่าจำเลยได้ย้ายภูมิลำเนาไปอยู่ที่บ้านเลขที่ 706/3 ซอยพหลโยธิน 32 แขวงลาดยาว เขตจตุจักรกรุงเทพมหานคร ตามคำร้องแต่อย่างใด ที่จำเลยอ้างว่าได้ย้ายไปตั้งแต่วันที่ 26 กันยายน 2539 นั้น ตามคำร้องขอถ่ายเอกสารที่จำเลยยื่นต่อศาลชั้นต้นลงวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2540 เอกสารอันดับที่ 93 ในสำนวนซึ่งจำเลยเป็นผู้เรียงเอง ก็ยังคงระบุไว้ชัดแจ้งว่า จำเลยอยู่บ้านเลขที่ 4/75ซอยเผือกจิตร แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร ตามฟ้องโจทก์หาใช่บ้านเลขที่ 706/3 ซอยพหลโยธิน 32 แขวงลาดยาว เขตจตุจักรกรุงเทพมหานคร ดังที่จำเลยอ้างในคำร้องไม่ เมื่อภูมิลำเนาของจำเลยตามหลักฐานที่ปรากฏในสำนวนขณะที่ส่งหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้แก่จำเลย คือบ้านเลขที่ 4/75 ซอยเผือกจิตร แขวงลาดยาวเขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร ตามฟ้องโจทก์ ดังนี้ การส่งหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้แก่จำเลยตามภูมิลำเนาดังกล่าวจึงชอบแล้วฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน