แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ผู้เสียหายเบิกความบรรยายพฤติกรรมของจำเลยตั้งแต่ต้นก่อนและขณะกระทำชำเรา เป็นขั้นเป็นตอนตามลำดับว่ามีการใช้กำลังกายอย่างไร พูดจาบังคับขู่เข็ญอย่างไร และกระทำการกระทำชำเราเป็นเหตุเป็นผลไม่ขัดต่อหลักความจริงของธรรมชาติ หากมิได้มีข้อเท็จจริงเกิดขึ้นแล้ว ผู้เสียหายซึ่งเป็นเด็กก็จะไม่สามารถเบิกความในลักษณะเช่นนั้นได้ จึงยากที่ผู้เสียหายจะปั้นแต่งขึ้นมาเองประกอบกับผู้เสียหายยังเป็นนักเรียนถูกล่วงละเมิดทางเพศ จึงเป็นสิ่งน่าอับอายที่จะนำมาเปิดเผยให้ผู้อื่นล่วงรู้ ผู้เสียหายย่อมไม่มีจริตเสแสร้งเอาความอันเป็นเท็จพูดบอกแก่ผู้อื่นให้เสื่อมเสียแก่ตัวเองและครอบครัว และเมื่อจำเลยพาผู้เสียหายมาถึงบ้าน ผู้เสียหายก็วิ่งเข้ากอด อ. ทันทีแล้วร้องไห้และบอกเรื่องที่ถูกจำเลยกระทำชำเราต่อ ท. และชาวบ้านอีกหลายคน เมื่อจำเลยถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยรับว่าเป็นผู้กระทำผิด แม้การตรวจร่างกายผู้เสียหายในวันนั้นจะไม่พบน้ำอสุจิในช่องคลอดก็มิได้หมายความว่าผู้เสียหายไม่ถูกกระทำชำเรา เพราะผู้เสียหายยืนยันว่าจำเลยเอาอวัยวะเพศสอดใส่เข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหายแล้วความผิดจึงสำเร็จ ซึ่งการที่ไม่พบน้ำอสุจินี้ย่อมสันนิษฐานว่าจำเลยได้หลั่งน้ำอสุจินอกช่องคลอด แต่ผลจากการตรวจยังพบว่าเยื่อพรหมจารีผู้เสียหายฉีกขาดมีเลือดซึมผนังช่องคลอด ปากมดลูกบวมแดง แสดงว่าผู้เสียหายผ่านการร่วมประเวณีมา จึงเป็นข้อสนับสนุนคำเบิกความของผู้เสียหายว่ามีการล่วงล้ำอวัยวะเพศของผู้เสียหายจริง
บิดามารดาผู้เสียหายนำผู้เสียหายไปฝากให้ อ. ป้าของผู้เสียหายช่วยดูแลแทนเนื่องจากต้องไปรับจ้างทำงานที่กรุงเทพมหานคร วันเกิดเหตุจำเลยขับรถจักรยานยนต์ไปรับผู้เสียหายจากบ้าน ส. เพื่อไปส่งที่บ้าน อ. แต่จำเลยกลับพาผู้เสียหายไปกระทำชำเราที่ป่าข้างทาง โดยที่ผู้เสียหายมิได้รักใคร่และยินยอมร่วมประเวณีด้วย การกระทำของจำเลยจึงเป็นการพรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ไปเสียจากผู้ดูแลโดยปราศจากเหตุอันสมควรเพื่อการอนาจารโดยไม่ต้องคำนึงว่าจำเลยจะมีภริยาและบุตรหรือไม่
จำเลยมีความมุ่งหมายที่จะกระทำชำเราผู้เสียหาย เมื่อจำเลยขับรถจักรยานยนต์ไปรับผู้เสียหายจากบ้าน ส. ไปเพื่อการอนาจารเป็นการกระทำความผิดสำเร็จในข้อหาพรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี เพื่อการอนาจารสำเร็จไปตอนหนึ่งแล้วเมื่อจำเลยพาผู้เสียหายไปถึงที่เกิดเหตุแล้วลงมือกระทำชำเรา จึงเป็นการกระทำกรรมใหม่อันเป็นความผิดขึ้นอีก แยกต่างหากจากการพรากเด็ก จึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยพรากเด็กหญิงสุนันทาอายุ 14 ปีเศษ ไปเสียจากนางอุทรผู้ปกครองดูแล โดยปราศจากเหตุอันสมควรเพื่อการอนาจาร และจำเลยใช้กำลังประทุษร้ายเข้ากอดปล้ำแล้วกระทำชำเราเด็กหญิงสุนันทาซึ่งมิใช่ภริยาของตนโดยเด็กหญิงสุนันทาอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้และมิได้ยินยอมให้จำเลยกระทำชำเรา ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277, 317, 91
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรคแรก, 317 วรรคสาม การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 ฐานกระทำชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกิน 15 ปี จำคุก 6 ปี ฐานพรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ไปเพื่อการอนาจาร จำคุก 8 ปี รวมจำคุก 14 ปี คำให้การชั้นจับกุม เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง ลดโทษให้หนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุก 10 ปี 6 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ความผิดฐานกระทำชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกิน 15 ปี จำคุก 4 ปี ความผิดฐานพรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ไปเพื่อการอนาจารจำคุก 5 ปี รวมจำคุก 9 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78คงจำคุก 6 ปี 3 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังได้ว่า ขณะเกิดเหตุผู้เสียหายอายุ 14 ปีเศษ บิดามารดาของผู้เสียหายได้นำผู้เสียหายไปฝากกับนางอุทรป้าของผู้เสียหายให้ช่วยดูแลเนื่องจากไปรับจ้างทำงานที่กรุงเทพมหานคร ตามวันเวลาเกิดเหตุผู้เสียหายได้ไปงานทำบุญกระดูกของญาติคนหนึ่งที่บ้านโป่งโกซึ่งอยู่ห่างจากบ้านนางอุทรประมาณ 3 กิโลเมตร ผู้เสียหายอยู่ที่บ้านนางสมบูรณ์เจ้าภาพที่บ้านโป่งโกจนถึงเวลาประมาณ 2 นาฬิกา ต่อมาจำเลยซึ่งเป็นคนรู้จักกันมาก่อนได้มารับผู้เสียหายจากบ้านนางสมบูรณ์นั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์เพื่อจะกลับบ้านจำเลยได้พาผู้เสียหายมาส่งที่บ้านนางอุทรในเวลา 3 นาฬิกา ผู้เสียหายจึงแจ้งแก่นางอุทรว่าระหว่างทางถูกจำเลยกระทำชำเรา ต่อมาจำเลยถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีผู้เสียหายเป็นประจักษ์พยานเบิกความว่า จำเลยพาผู้เสียหายนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ไปตามถนนลูกรังเมื่อมาถึงทางแยกก็เลี้ยวขวาเข้าไปบริเวณป่า จำเลยจอดรถจักรยานยนต์แล้วให้ผู้เสียหายลงจากรถจักรยานยนต์ จำเลยเข้ามากอดและกดผู้เสียหายให้ล้มลงพยายามจะดึงกางเกงวอร์มออก ผู้เสียหายดิ้นรนดึงกางเกงขึ้นแล้ววิ่งหนี จำเลยตามไปล็อกคอลากกลับมาที่เดิมและพูดขู่ไม่ให้ร้อง หากร้องจะฆ่าจำเลยกดผู้เสียหายให้นอนหงายและกระทำการต่าง ๆ นานา จนกระทั่งกระทำชำเราผู้เสียหายจนสำเร็จ หลังจากนั้นจำเลยพาผู้เสียหายมาส่งที่บ้านนางอุทรเวลา 3 นาฬิกา เมื่อผู้เสียหายมาถึงบ้านพบนางอุทรจึงร้องไห้และบอกแก่นางอุทรว่าถูกจำเลยกระทำชำเรา เด็กหญิงอ้อยพยานเบิกความว่าครั้งแรกจำเลยพาพยานกับผู้เสียหายนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์จะกลับบ้านระหว่างทางจำเลยบอกแก่พยานว่ายางรถจักรยานยนต์แบน จำเลยจึงพาพยานย้อนกลับไปที่บ้านโป่งโกบ้านเจ้าของงานแล้วจำเลยขับรถจักรยานยนต์พาผู้เสียหายนั่งซ้อนท้ายไป นางอุทรพยานเบิกความว่า พยานทราบว่าจำเลยพาผู้เสียหายมาส่งที่บ้าน แต่ผู้เสียหายยังไม่กลับมา พยานจึงปลุกเพื่อนบ้านลุกขึ้นเพื่อตามหา จนกระทั่งเวลา 3 นาฬิกา จำเลยและผู้เสียหายจึงกลับมา พยานเห็นผู้เสียหายตัวเย็นและมีอาการตัวสั่น จึงถามจำเลยว่าทำอะไรหรือเปล่าผู้เสียหายร้องไห้และบอกแก่พยานว่าได้เสียกับจำเลยหลังจากนั้นพี่ของพยานพาผู้เสียหายไปตรวจที่โรงพยาบาลและแพทย์หญิงวาวเดือนพยานเบิกความว่า พยานได้ตรวจร่างกายผู้เสียหายพบว่าเยื่อพรหมจารีฉีกขาด มีเลือดซึมผนังช่องคลอด ปากมดลูกบวมแดง มีความเห็นว่าผู้เสียหายผ่านการร่วมประเวณีมา แต่ไม่พบการหลั่งน้ำอสุจิ ส่วนจำเลยนำสืบปฏิเสธว่ามิได้กระทำชำเรา เห็นว่า ผู้เสียหายได้เบิกความบรรยายพฤติกรรมของจำเลยตั้งแต่ต้นก่อนและขณะกระทำชำเราเป็นขั้นเป็นตอนตามลำดับว่ามีการใช้กำลังกายอย่างไร พูดจาบังคับขู่เข็ญอย่างไรและกระทำการกระทำชำเราเป็นเหตุเป็นผลไม่ขัดต่อหลักความจริงของธรรมชาติหากมิได้มีข้อเท็จจริงเกิดขึ้นแล้ว ผู้เสียหายซึ่งเป็นเด็กก็จะไม่สามารถเบิกความในลักษณะเช่นนั้นได้จึงยากที่ผู้เสียหายจะปั้นแต่งขึ้นมาเอง ในสภาวะเช่นนั้น ผู้เสียหายได้แต่ดิ้นรนขัดขืนและด้วยกำลังอำนาจของจำเลยซึ่งเป็นชายที่เหนือกว่าจึงไม่สามารถป้องกันตนเองได้ต้องตกอยู่ในสภาพที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ทั้งสถานที่เกิดเหตุเป็นที่เปลี่ยวไม่มีบ้านคนและเป็นเวลาค่ำคืน หากจะร้องขอความช่วยเหลือก็ไม่มีใครมาช่วยเหลือได้ ประกอบกับผู้เสียหายยังเป็นนักเรียนถูกล่วงละเมิดทางเพศ จึงเป็นสิ่งที่น่าอับอายที่จะนำมาเปิดเผยให้ผู้อื่นล่วงรู้ ผู้เสียหายย่อมไม่มีจริตเสแสร้งเอาความอันเป็นเท็จพูดบอกแก่ผู้อื่นให้เสื่อมเสียแก่ตัวเองและครอบครัว และเมื่อจำเลยพาผู้เสียหายมาถึงบ้านเวลาประมาณ 3 นาฬิกา ผู้เสียหายก็วิ่งเข้ากอดนางอุทรทันทีแล้วร้องไห้และบอกเรื่องที่ถูกจำเลยกระทำชำเราต่อนางเทศาและชาวบ้านอีกหลายคน เมื่อจำเลยถูกนายดาบตำรวจสุจิตร รักษ์มณี จับ นายดาบตำรวจสุจิตพยานโจทก์เบิกความว่าจำเลยรับว่าเป็นผู้กระทำผิด แม้แต่ความเห็นของแพทย์หญิงวาวเดือน สิทธิชัยเกษม ผู้ตรวจร่างกายผู้เสียหายในวันนั้น ก็มีความเห็นว่าผู้เสียหายผ่านการร่วมประเวณีมา จึงเป็นข้อสนับสนุนคำเบิกความของผู้เสียหายว่าเป็นจริง ที่จำเลยฎีกาว่าผู้เสียหายเบิกความว่าถูกจำเลยกระทำชำเราเป็นเวลา 1 นาที นั้น ขัดต่อหลักแห่งความเป็นจริง เห็นว่า จำเลยมิได้กระทำชำเราผู้เสียหายทันทีแต่ได้เข้ามากอดปล้ำและบังคับให้นอนหงายและกระทำการต่าง ๆ นานา แล้วจึงกระทำชำเราในที่สุด เมื่อพิจารณาคำเบิกความของผู้เสียหายโดยตลอดตั้งแต่เริ่มจนการกระทำชำเราสำเร็จย่อมใช้เวลาไม่น้อยกว่า 10 นาที แต่ผู้เสียหายเบิกความว่ากระทำชำเราอยู่ประมาณ 1 นาทีนั้น อาจเป็นไปได้ว่าเป็นช่วงที่จำเลยนำอวัยวะเพศของจำเลยสอดใส่เข้าไปอวัยวะเพศของผู้เสียหายแต่ประการเดียว จำเลยจึงหยุดการกระทำ การกระทำย่อมไม่ขัดต่อหลักความจริงดังที่อ้าง แม้การตรวจของแพทย์จะไม่พบน้ำอสุจิในช่องคลอดก็มิได้หมายความว่าผู้เสียหายไม่ถูกกระทำชำเรา เพราะผู้เสียหายยืนยันว่าจำเลยเอาอวัยวะเพศสอดใส่เข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหายแล้วความผิดจึงสำเร็จที่ผู้เสียหายว่ามีน้ำเปียกที่อวัยวะเพศ แต่เมื่อมีการตรวจช่องคลอดไม่มีน้ำอสุจิย่อมสันนิษฐานว่าจำเลยได้หลังน้ำอสุจินอกช่องคลอด ดังนั้น การตรวจของแพทย์ จึงไม่พบว่ามีการหลั่งน้ำอสุจิดังกล่าว แต่ผลการตรวจของแพทย์พบว่าเยื่อพรหมจารีผู้เสียหายฉีกขาด มีเลือดซึมผนังช่องคลอด ปากมดลูกบวมแดง ข้อสันนิษฐานของแพทย์จึงเจือสมกับคำเบิกความของผู้เสียหายว่ามีการล่วงล้ำอวัยวะเพศของผู้เสียหายที่จำเลยฎีกาว่าเด็กหญิงอ้อยและนางเทศากับนางอุทรพยานโจทก์เบิกความว่าผู้เสียหายนุ่งกางเกงยีน จำเลยย่อมไม่สามารถจะกระทำชำเราผู้เสียหายได้เพราะเป็นการยากที่จะถอดกางเกงออกจากร่างกายของผู้เสียหาย ข้อนี้เห็นว่าผู้เสียหายยืนยันว่านุ่งกางเกงวอร์ม แต่ที่พยานโจทก์ทั้งสามเบิกความว่าผู้เสียหายนุ่งกางเกงยีนดังกล่าว จึงเป็นข้อแตกต่างเพียงเล็กน้อย ผู้เสียหายจะนุ่งกางเกงวอร์มหรือกางเกงยีนก็ตาม แต่เมื่อถูกจำเลยบังคับขู่เข็ญและใช้กำลังอำนาจที่เหนือกว่า จำเลยย่อมข่มขืนใจจนกระทั่งผู้เสียหายถอดกางเกงออกมาจนได้ และที่ผู้เสียหายถูกบังคับให้นอนกับพื้นนั้น แต่การตรวจร่างกายของแพทย์ไม่พบรอยแผลนั้น ทางพิจารณาไม่ปรากฏว่าสภาพพื้นที่ผู้เสียหายถูกบังคับให้นอนนั้นมีสภาพเช่นไรอันที่จะก่อให้เกิดบาดแผลของผู้เสียหายขึ้นได้ นอกจากนั้นจำเลยยังฎีกาข้อเท็จจริงในรายละเอียดประการอื่น ๆ อีก ล้วนแล้วแต่มิใช่สาระสำคัญที่จะมีเหตุผลหักล้างพยานโจทก์ได้ส่วนพยานโจทก์ที่นำสืบมามีเหตุผลและน้ำหนักฟังเป็นมั่นคงว่าจำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายจริง มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการต่อมาว่า การกระทำของจำเลยเป็นการพรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปีไปเพื่อการอนาจารหรือไม่ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า บิดามารดาผู้เสียหายนำผู้เสียหายไปฝากให้นางอุทรป้าของผู้เสียหายให้ช่วยดูแลแทน เนื่องจากบิดามารดาของผู้เสียหายไปรับจ้างทำงานที่กรุงเทพมหานคร วันเกิดเหตุจำเลยขับรถจักรยานยนต์ไปรับผู้เสียหายจากบ้านนางสมบูรณ์ที่บ้านโป่งโกเพื่อไปส่งที่บ้านนางอุทรแต่จำเลยกลับพาผู้เสียหายไปกระทำชำเราที่ป่าข้างทางก่อนที่จะพาผู้เสียหายไปส่งที่บ้านนางอุทรโดยที่ผู้เสียหายมิได้รักใคร่และยินยอมที่จะร่วมประเวณีด้วย ถือได้ว่าการกระทำของจำเลยเป็นการพรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปีไปเสียจากผู้ดูแลโดยปราศจากเหตุอันสมควรเพื่อการอนาจารโดยไม่ต้องคำนึงว่าจำเลยจะมีภริยาและบุตรหรือไม่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ฟังว่าจำเลยกระทำความผิดข้อหานี้ชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น และปัญหาตามฎีกาของจำเลยในประการสุดท้ายว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมหรือไม่ เห็นว่า จำเลยมีความมุ่งหมายที่จะกระทำชำเราผู้เสียหาย เมื่อจำเลยขับรถจักรยานยนต์ไปรับผู้เสียหายจากบ้านนางสมบูรณ์ไปเพื่อการอนาจารเป็นการกระทำความผิดสำเร็จในข้อหาพรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปีเพื่อการอนาจารสำเร็จไปตอนหนึ่งแล้วเมื่อจำเลยพาผู้เสียหายไปถึงที่เกิดเหตุแล้วลงมือกระทำชำเราผู้เสียหาย จึงเป็นการกระทำกรรมใหม่อันเป็นความผิดขึ้นอีก แยกต่างหากจากการพรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี จึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยมาชอบแล้ว ศาลฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
อนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาว่า ความผิดฐานกระทำชำเราเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ไปเพื่ออนาจาร จำคุก 4 ปี ความผิดฐานพรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ไปเพื่อการอนาจารจำคุก 5 ปี รวมจำคุก 9 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 6 ปี 3 เดือน นั้น ไม่ถูกต้อง โดยเมื่อลดโทษแล้วที่ถูกคงจำคุก 6 ปี 9 เดือน แต่เมื่อโจทก์ไม่ฎีกา ศาลฎีกาจึงไม่อาจแก้ไขให้ถูกต้องได้เพราะจะเป็นการเพิ่มเติมโทษจำเลย ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212 ประกอบด้วยมาตรา 225”
พิพากษายืน