คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4000/2548

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

การใช้ทางที่จะเป็นทางภาระจำยอมโดยอายุความนั้น โจทก์ต้องได้ใช้ทางพิพาทในลักษณะปรปักษ์ต่อเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382 เมื่อโจทก์ได้ใช้ทางพิพาทเข้าออกสู่ทางสาธารณะโดยได้รับความยินยอมจาก พ. เจ้าของเดิม การที่โจทก์เอาหินกรวดมาทำถนนบนทางพิพาทเท่ากับเป็นการถือวิสาสะที่อาศัยความเกี่ยวพันในฐานะที่จำเลยจะเข้ามาเป็นเครือญาติของโจทก์เป็นสำคัญ จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์ใช้ทางพิพาทในลักษณะปรปักษ์ต่อจำเลยตามมาตรา 1382 แม้โจทก์จะใช้ทางพิพาทผ่านที่ดินของจำเลยมากว่า 10 ปี ทางพิพาทก็หาตกเป็นทางภาระจำยอมตาม ป.พ.พ. มาตรา 1401 ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยเปิดทางภาระจำยอมบนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 2931 ตำบลออนเหนือ อำเภอสันกำแพง (กิ่งอำเภอแม่ออน) จังหวัดเชียงใหม่ มีความกว้าง 4 เมตร ตลอดแนวของความยาวประมาณ 75 เมตร บนที่ดินดังกล่าวทางด้านทิศใต้จากที่ดินของโจทก์ถึงทางสาธารณประโยชน์ในหมู่บ้าน หมู่ที่ 2 ตำบลออนเหนือ กิ่งอำเภอแม่ออน จังหวัดเชียงใหม่ ภายใน 7 วัน นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษาและให้จำเลยจดทะเบียนภาระจำยอมให้แก่โจทก์ให้แล้วเสร็จภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา หากจำเลยไม่ปฏิบัติตาม ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษากลับ ให้จำเลยเปิดทางพิพาทในส่วนที่ระบายสีแดงตามแผนที่พิพาท มีความกว้าง 2 เมตร ความยาวตลอดที่ดินของจำเลยทางด้านทิศใต้ตั้งแต่ส่วนที่ติดกับที่ดินของโจทก์จนถึงถนนสาธารณะเป็นทางภาระจำยอมให้จำเลยจดทะเบียนทางภาระจำยอมให้แก่โจทก์ หากจำเลยไม่จดทะเบียนภาระจำยอมให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา ส่วนค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนให้โจทก์เป็นฝ่ายชนะ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้ฎีกาโต้แย้งกันรับฟังเป็นยุติว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 23301 ตำบลออนเหนือ อำเภอสันกำแพง (กิ่งอำเภอแม่ออน) จังหวัดเชียงใหม่ จำเลยเป็นเจ้าของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 2931 ตำบลออนเหนือ อำเภอสันกำแพง (กิ่งอำเภอแม่ออน) จังหวัดเชียงใหม่ ที่ดินของจำเลยตั้งอยู่หน้าที่ดินของโจทก์ โดยทางทิศตะวันออกของที่ดินของจำเลยติดถนนสาธารณะ โจทก์ใช้ที่ดินของจำเลยทางด้านทิศใต้ตามแนวเขตที่ระบุสีแดงในแผนที่เอกสารหมาย จ.5 เป็นทางเข้าออกสู่ถนนสาธารณะ ก่อนโจทก์นำคดีมาฟ้อง จำเลยได้สร้างรั้วลวดหนามล้อมที่ดินของจำเลยโดยปิดกั้นทางเข้าออกดังกล่าว หลังจากนั้นโจทก์ใช้ทางด้านทิศตะวันตกจากบ้านโจทก์ผ่านบ้านนายพิรุณ ธิอินโต และนายสุข ธิอินโต ไปทางซอยหนองหอย ซอย 1 และซอย 3 เพื่อเป็นทางเข้าออกสู่ถนนสาธารณะ ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยมีว่า ทางพิพาทตามแนวเขตที่ระบายสีแดงในแผนที่เอกสารหมาย จ.5 เป็นทางภาระจำยอมโดยอายุความหรือไม่ เห็นว่า แม้ผู้รับมอบอำนาจโจทก์กล่าวอ้างว่าโจทก์ปลูกสร้างบ้านอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 23301 ตามเอกสารหมาย จ.1 มาตั้งแต่ปี 2509 โดยที่ดินดังกล่าวเดิมเป็นที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) ก็ตาม แต่โจทก์หามีหลักฐานที่ดินตามที่กล่าวอ้างมาแสดงไม่ อีกทั้งที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก) เลขที่ 2931 เอกสารหมาย จ.4 คงมีแต่ชื่อนางพัทราเป็นผู้มีสิทธิครอบครองมาแต่ต้น ทั้งโจทก์ก็ไม่มีหลักฐานที่บ่งแสดงว่าโจทก์ได้ใช้ทางพิพาทผ่านเข้าออกถนนสาธารณะบนที่ดินดังกล่าว ซึ่งเป็นของผู้มีสิทธิครอบครองคนใดก่อนหน้านางพัทรา จึงฟังไม่ได้ว่า โจทก์อยู่อาศัยในที่ดินโฉนดเลขที่ 23301 และใช้ทางพิพาทบนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 2931 มาตั้งแต่ปี 2509 ตามที่กล่าวอ้าง โดยพยานหลักฐานโจทก์ตามสำเนาโฉนดที่ดินเลขที่ 23301 เอกสารหมาย จ.1 ประกอบสำเนาทะเบียนบ้านเอกสารหมาย จ.2 ที่ระบุว่าโจทก์เข้ามาอยู่ในบ้านเลขที่ 2/1 หมู่ที่ 2 ตำบลออนเหนือ กิ่งอำเภอแม่ออน จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2527 คงฟังได้แต่เพียงว่าโจทก์ใช้ทางพิพาทผ่านเข้าออกถนนสาธารณะในปี 2527 เป็นต้นมาจนถึงปี 2543 มีระยะเวลาเกินกว่า 10 ปี และจำเลยล้อมรั้วห้ามมิให้โจทก์ผ่านเข้าออกที่ดินของจำเลย ทั้งนี้การใช้ทางที่จะเป็นทางภาระจำยอมโดยอายุความนั้น โจทก์ต้องพิสูจน์ได้ว่าโจทก์ได้ใช้ทางพิพาทในลักษณะปรปักษ์ต่อเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 จะเห็นได้ว่าจากคำเบิกความของผู้รับมอบอำนาจโจทก์ในชั้นไต่สวนคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวในกรณีมีเหตุฉุกเฉินเมื่อวันที่ 11 เมษายน 2543 และในชั้นขอเพิกถอนคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2544 ก็ดี ตลอดจนคำเบิกความของผู้รับมอบอำนาจโจทก์ในชั้นสืบพยานโจทก์เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2544 ก็ดี ผู้รับมอบอำนาจโจทก์ล้วนแต่ยืนยันว่าขณะที่นางพัทราเป็นเจ้าของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 2931 โจทก์ได้ใช้ทางพิพาทบนที่ดินดังกล่าวเข้าออกสู่ทางสาธารณะโดยได้รับความยินยอมจากนางพัทราแล้ว ซึ่งเจือสมกับคำเบิกความของนางพัทราพยานจำเลยที่ว่าโจทก์ได้ขออนุญาตใช้ทางพิพาทดังกล่าวจากพยาน อีกทั้งผู้รับมอบอำนาจโจทก์เองก็กล่าวอ้างว่าจำเลยกับตนเคยอยู่กินฉันสามีภริยากันมาก่อนและจำเลยซื้อที่ดินจากนางพัทราเพื่อปลูกบ้านเป็นที่อยู่อาศัยร่วมกัน การที่โจทก์เอาหินกรวดมาทำถนนบนทางพิพาทเท่ากับเป็นการถือวิสาสะที่อาศัยความเกี่ยวพันในฐานะที่จำเลยจะเข้ามาเป็นเครือญาติของโจทก์เป็นสำคัญ ดังนั้น กรณีดังกล่าวข้างต้นจึงถือไม่ได้ว่าโจทก์ใช้ทางพิพาทในลักษณะปรปักษ์ต่อจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 แม้โจทก์จะใช้ทางพิพาทผ่านที่ดินของจำเลยมากว่า 10 ปี ทางพิพาทก็หาตกเป็นทางภาระจำยอมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1401 ไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 วินิจฉัยว่าทางพิพาทตกเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง

Share