คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4/2533

แหล่งที่มา : 33

ย่อสั้น

จำเลยรับเงินค่าสินค้าไว้ในฐานะตัวแทนของโจทก์ร่วมผู้ขายเงินนั้นย่อมตกเป็นของโจทก์ร่วมแล้ว ผู้ซื้อสินค้าเมื่อได้ชำระหนี้ค่าสินค้าแล้วหาใช่เป็นเจ้าของเงินนั้นต่อไปไม่ เมื่อจำเลยครอบครองเงินของโจทก์ร่วมไว้แล้วไม่ส่งมอบโดยนำเข้าฝากในบัญชีธนาคารของโจทก์ร่วมตามหน้าที่ อันเป็นความผิดฐานยักยอกโจทก์ร่วมจึงเป็นผู้เสียหายมีอำนาจร้องทุกข์ พนักงานอัยการโจทก์มีอำนาจฟ้องและโจทก์ร่วมย่อมขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ได้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352, 91 และให้จำเลยคืนเงินจำนวน 1,452,907 บาท ที่จำเลยยักยอกไปแก่ผู้เสียหาย
ระหว่างพิจารณาผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ศาลชั้นต้นอนุญาต
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 352, 91 เป็นความผิดรวม 50 กระทง ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 จำคุกกระทงละ 8 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพเป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 จำคุกกระทงละ 4 เดือน รวม 50 กระทง เป็นจำคุก 16 ปี8 เดือน แต่ให้ลงโทษจำคุก 10 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91(1)ให้จำเลยคืนเงินจำนวน 1,452,907 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “จำเลยฎีกาเป็นปัญหาข้อกฎหมายว่า เงินจำนวน1,452,907 บาท ที่จำเลยรับมาจากผู้ซื้อสินค้าของโจทก์ร่วมมิใช่เป็นเงินของโจทก์ร่วม แต่ยังคงเป็นของผู้ซื้อสินค้าอยู่ กรรมสิทธิ์ยังไม่ตกเป็นของโจทก์ร่วมจนกว่าจำเลยจะได้มอบให้โจทก์ร่วม เมื่อจำเลยยักยอกเงินดังกล่าวไป ผู้ที่ชำระเงินให้แก่จำเลยย่อมเป็นผู้เสียหาย หาใช่โจทก์ร่วมไม่ โจทก์ร่วมจึงไม่มีอำนาจร้องทุกข์และโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงตามฟ้องโจทก์ฟังได้ว่า จำเลยมีตำแหน่งเป็นผู้จัดการร้านซิงเกอร์ สาขาพิษณุโลก 4ซึ่งเป็นร้านสาขาของโจทก์ร่วมโดยจำเลยทำหน้าที่เป็นตัวแทนของโจทก์ร่วมในการจำหน่ายสินค้า ในการนี้จำเลยเป็นผู้รับเงินค่าสินค้าจากลูกค้าเองและจากพนักงานขายและพนักงานเก็บเงินของโจทก์ร่วมที่เก็บจากลูกค้าแล้วนำมาส่งมอบให้จำเลย เมื่อจำเลยรับเงินค่าสินค้ามาแล้วจำเลยจะต้องนำฝากเข้าบัญชีของโจทก์ร่วมที่ธนาคารกรุงเทพ จำกัดสาขาพิษณุโลก แต่ปรากฏว่าภายหลังจากที่ได้รับเงินค่าสินค้ามาแล้วจำเลยไม่ได้นำฝากเข้าบัญชีของโจทก์ร่วมกลับได้เบียดบังเอาไปเสียเช่นนี้ เห็นว่า การที่จำเลยรับเงินค่าสินค้าไว้ในฐานะดังกล่าวเงินนั้นย่อมตกเป็นของโจทก์ร่วมแล้ว ผู้ซื้อสินค้าเมื่อได้ชำระหนี้ค่าสินค้าแล้วหาใช่เป็นเจ้าของเงินนั้นต่อไปไม่ เมื่อจำเลยครอบครองเงินของโจทก์ร่วมไว้แล้วไม่ส่งมอบโดยนำเข้าฝากในบัญชีธนาคารของโจทก์ร่วมตามหน้าที่ อันเป็นความผิดฐานยักยอก โจทก์ร่วมจึงเป็นผู้เสียหายมีอำนาจร้องทุกข์ พนักงานอัยการโจทก์มีอำนาจฟ้อง และโจทก์ร่วมย่อมขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ได้ ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น ส่วนที่จำเลยฎีกาขอให้รอการลงโทษนั้น ปรากฏว่าคดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยรวม 50 กระทง ให้จำคุกกระทงละ 4 เดือน ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน คดีจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ฎีกาของจำเลยดังกล่าวเป็นการโต้แย้งดุลพินิจการลงโทษของศาลอุทธรณ์ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงศาลฎีกาไม่อาจรับวินิจฉัยให้ได้”
พิพากษายืน.

Share