แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ข้อเท็จจริงปรากฏว่า ตามปกติโจทก์ร่วมจ่ายเงินค่าซื้อข้าวโพดหวานให้เกษตรกรภายใน 7 วัน ถึง 15 วัน นับแต่วันที่ซื้อ หากเกษตรกรรายใดประสงค์จะขอรับเงินก่อนภายใน 1 ถึง 2 วัน จะต้องขายลดสิทธิการรับเงิน โดยเกษตรกรต้องแจ้งให้จำเลยทราบแล้วจำเลยเป็นผู้มีหน้าที่รวบรวมเอกสารเสนอเพื่อขออนุมัติกับกรรมการผู้จัดการของโจทก์ร่วมก่อน เมื่ออนุมัติแล้ว ม. กรรมการผู้จัดการของโจทก์ร่วมจะสั่งจ่ายเงินจากบัญชีของตนเองจ่ายไปก่อน การจ่ายเงินของ ม. ดังกล่าวจึงเป็นเงินส่วนตัวของ ม.ทั้งสิ้นหาใช่เงินของโจทก์ร่วมซึ่งมีฐานะเป็นบุคคลต่างหากจาก ม. ไม่ แม้ ม. มีความสัมพันธ์ในฐานะเป็นกรรมการผู้จัดการของโจทก์ร่วมก็ตาม แต่ ม. ก็ได้รับเงินส่วนต่างจากการขายลดสิทธิที่เป็นกำไรเป็นของตนเองแต่เพียงผู้เดียวตามที่โจทก์ร่วมยอมรับในคำแก้อุทธรณ์ ส่วนข้อที่กล่าวอ้างว่าให้ ม. จ่ายเงินส่วนตัวไปก่อนเพื่อมิให้ผิดหลักการการจ่ายเงินในการซื้อวัตถุดิบไม่ให้เสียระบบการจ่ายเงินนั้นไม่สมเหตุสมผล ทั้งไม่มีผลทำให้โจทก์ร่วมซึ่งไม่ใช่ผู้เสียหายอยู่แล้วกลายเป็นผู้เสียหายตามกฎหมายแต่อย่างใด โจทก์ร่วมจึงไม่ใช่ผู้เสียหายในความผิดฐานฉ้อโกง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 341 ให้จำเลย คืนเงิน 2,972,217.10 บาท แก่ผู้เสียหาย และนับโทษจำเลยต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 654/2552 ของศาลชั้นต้น
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ระหว่างพิจารณา บริษัทซันสวีท จำกัด ผู้เสียหาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานฉ้อโกงเงินค่าซื้อข้าวโพดหวานล่วงหน้าของโจทก์ (ที่ถูก โจทก์ร่วม) จำนวน 45 กระทง จำคุกกระทงละ 1 เดือน รวมจำคุก 45 เดือน และให้จำเลยคืนเงินจำนวน 1,724,417.10 บาท ให้แก่โจทก์ร่วม ส่วนที่โจทก์ขอให้นับโทษจำเลยต่อจากโทษจำคุกในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 654/2552 ของศาลชั้นต้น เนื่องจากศาลยังไม่มีคำพิพากษาในคดีดังกล่าว จึงให้ยกคำขอในส่วนนี้ของโจทก์ ข้อหาและคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์เสียทั้งสิ้น
โจทก์ร่วมฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้แย้งกันในชั้นฎีการับฟังได้เป็นยุติว่า นายเกียรติศักดิ์ นายพัชรพงษ์และนางสาวกิ่งกาญน์เปิดบัญชีเงินฝากธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาประตูชัย เชียงใหม่ สาขาแม่จัน เชียงราย และสาขาลำพูน ตามลำดับ แล้วมอบสมุดบัญชีเงินฝากดังกล่าวและบัตร เอ ที เอ็ม ให้จำเลยยึดถือไว้ คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ร่วมในข้อแรกว่า โจทก์ร่วมเป็นผู้เสียหายหรือไม่ ในปัญหานี้โจทก์ร่วมฎีกาว่า ข้อเท็จจริงจากการนำสืบยอมรับกันแล้วว่านางสาวมรกตเป็นกรรมการผู้จัดการของโจทก์ร่วมที่มีอำนาจในการจ่ายเงินของโจทก์ร่วมได้ เมื่อนำข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในคดีมาพิจารณาว่าใครคือผู้ที่ได้รับความเสียหายจากการกระทำของจำเลยแล้ว ย่อมหมายถึงผู้ที่ได้รับความเสียหายโดยตรงจากการกระทำความผิดของจำเลยที่ได้ทำขึ้น ซึ่งตามข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า การจ่ายเงินค่าข้าวโพดหวานปกติโจทก์ร่วมจะจ่ายเงินให้แก่เกษตรกรภายใน 7 ถึง 15 วัน แต่หากเกษตรกรประสงค์จะขอรับเงินก่อนภายใน 1 ถึง 2 วัน จะต้องขายลดสิทธิการรับเงินโดยเกษตรกรจะต้องแจ้งให้จำเลยทราบ แล้วจำเลยเป็นผู้มีหน้าที่รวบรวมเอกสารเสนอเพื่อขออนุมัติกับกรรมการผู้จัดการของโจทก์ร่วมก่อน ซึ่งตามขั้นตอนเห็นได้ว่า เมื่อมีการขายลดสิทธิการรับเงินแล้วต้องขออนุมัติกับกรรมการผู้จัดการของโจทก์ร่วมก่อนเพื่ออนุมัติขายลดก่อนจะถึงกำหนดชำระเงิน แต่การจ่ายเงินในนามของโจทก์ร่วมออกไปก่อนเป็นการผิดต่อหลักการจ่ายเงินของการซื้อวัตถุดิบอันจะทำให้เสียระบบการเบิกจ่ายเงินจึงต้องให้นางสาวมรกต กรรมการผู้จัดการของโจทก์ร่วมซึ่งได้กระทำแทนโจทก์ร่วมสั่งจ่ายเงินจากบัญชีของตนเองทดรองจ่ายไปก่อน จึงมิใช่การกระทำในนามของตนเอง แต่เป็นการกระทำในนามของโจทก์ร่วมนั่นเอง โจทก์ร่วมจึงได้รับความเสียหายตั้งแต่กรรมการผู้จัดการที่กระทำการแทนโจทก์ร่วมจ่ายเงินไปให้ก่อนแล้ว โจทก์ร่วมจึงเป็นผู้เสียหายตามกฎหมายด้วยนั้น เห็นว่า ตามข้อเท็จจริงปรากฏว่า ตามปกติโจทก์ร่วมจ่ายเงินค่าซื้อข้าวโพดหวานให้เกษตรกรภายใน 7 วัน ถึง 15 วัน นับแต่วันที่ซื้อ หากเกษตรกรรายใดประสงค์จะขอรับเงินก่อนภายใน 1 ถึง 2 วัน จะต้องขายลดสิทธิการรับเงิน โดยเกษตรกรต้องแจ้งให้จำเลยทราบแล้วจำเลยเป็นผู้มีหน้าที่รวบรวมเอกสารเสนอเพื่อขออนุมัติกับกรรมการผู้จัดการของโจทก์ร่วมก่อน เมื่ออนุมัติแล้วนางสาวมรกต กรรมการผู้จัดการของโจทก์ร่วมจะสั่งจ่ายเงินจากบัญชีของตนเองจ่ายไปก่อน การจ่ายเงินของนางสาวมรกตดังกล่าวจึงเป็นเงินส่วนตัวของนางสาวมรกตทั้งสิ้นหาใช่เงินของโจทก์ร่วมซึ่งมีฐานะเป็นบุคคลต่างหากจากนางสาวมรกตไม่ แม้นางสาวมรกตมีความสัมพันธ์ในฐานะเป็นกรรมการผู้จัดการของโจทก์ร่วมก็ตาม แต่นางสาวมรกตก็ได้รับเงินส่วนต่างจากการขายลดสิทธิที่เป็นกำไรเป็นของตนเองแต่เพียงผู้เดียวตามที่โจทก์ร่วมยอมรับในคำแก้อุทธรณ์ โจทก์ร่วมจึงไม่ใช่ผู้เสียหายในความผิดฐานฉ้อโกง
พิพากษายืน