แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยมีเรื่องโกรธเคืองกับผู้ตายมาก่อน ในคืนเกิดเหตุจำเลยได้พกมีดปลายแหลมของกลางติดตัวไปในงานเลี้ยงทำขวัญนาค ที่บ้าน ส. แล้วจำเลยใช้มีดเล่มดังกล่าวแทงผู้ตาย 2 ครั้งโดยครั้งแรกแทงผู้ตายที่ชายโครงขวาด้านหลังด้านนอก ซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญเป็นแผลแรก ขณะที่ผู้ตายยังไม่รู้ตัว และไม่ได้ต่อสู้ เมื่อผู้ตายรู้ตัวหันมาหาจำเลย ก็ถูกแทง เป็นแผลที่สองที่ชายโครงซ้ายด้านหน้าซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญ อีกเช่นกันเป็นแผลฉกรรจ์ถึงขนาดลำไส้ทะลักออกมาให้เป็น และไม่อาจต่อสู้ได้ แสดงให้เห็นว่าจำเลยแทงผู้ตายเต็มแรง เพียงฝ่ายเดียว โดยผู้ตายไม่มีโอกาสต่อสู้ ฟังไม่ได้ว่า จำเลยแทงผู้ตายเพื่อป้องกันตัว แต่ฟังได้ว่าจำเลย แทงผู้ตายโดยเจตนาฆ่า
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288และริบอาวุธมีดของกลาง
จำเลยให้การต่อสู้อ้างเหตุป้องกัน
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ลงโทษจำคุก 15 ปี คำให้การและข้อนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 10 ปีริบอาวุธมีดของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่าการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ปัญหานี้จำเลยเบิกความว่า คืนเกิดเหตุเวลา 3 นาฬิกา ขณะที่จำเลยจะกลับจากงานบวชนาคบ้านนางเสวก เมื่อเดินมาถึงครัวหลังบ้านเกิดเหตุ ผู้ตายเดินมากระชากคอเสื้อแล้วชกต่อยจำเลยจำเลยผลักผู้ตายออกไป ผู้ตายชักปืนออกมาจากเอวยิงใส่จำเลย1 ครั้ง กระสุนไม่ลั่น จำเลยเข้าแย่งปืน แต่ผู้ตายสะบัดหลุดแล้วจ้องปืนจะยิงจำเลยอีก จำเลยจึงคว้ามีดบนโต๊ะในห้องครัวแทงสวนไป 1 ครั้ง เพื่อยับยั้งไม่ให้ผู้ตายยิงแล้ววิ่งหนีไปผู้ตายกับพวกวิ่งไล่ตามทันจำเลยที่หน้าบ้านเกิดเหตุ พวกผู้ตายใช้มีดแทงจำเลยถูกที่โคนขา จำเลยร้องให้คนช่วย เพื่อผู้ตายตกใจหยุด จำเลยจึงรีบวิ่งกลับบ้าน คนในบ้านพาจำเลยไปรักษาบาดแผลที่คลีนิกปากซอย เห็นว่า ในชั้นพิจารณาจำเลยเบิกความว่าจำเลยแทงผู้ตายเพียง 1 ครั้ง แต่ในชั้นสอบสวนจำเลยให้การตามเอกสารหมาย จ.13 ว่าแทงผู้ตาย 2 ครั้ง ชั้นจับกุมจำเลยรับว่าแทงผู้ตายจริง ซึ่งจะเห็นได้ว่าแต่ละครั้งจำเลยให้การไม่ตรงกัน เปลี่ยนแปลงไปทุกครั้ง และตามรายงานการชันสูตรพลิกศพเอกสารหมาย จ.10 ก็ปรากฏว่าผู้ตายมีบาดแผลถูกแทง 2 แห่งคือ ที่ชายโครงแถบขวาด้านหลังด้านนอก กับที่ชายโครงซ้ายด้านหน้าบาดแผลดังกล่าวเป็นพยานวัตถุที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ คำเบิกความของจำเลยมีพิรุธ ทั้งจำเลยไม่มีพยานหลักฐานอื่นสนับสนุนข้อนำสืบของจำเลยจึงไม่มีน้ำหนักให้เชื่อถือได้ ส่วนที่จำเลยนำสืบว่าผู้ว่าจ้องปืนจะยิงจำเลย จำเลยจึงคว้ามีดบนโต๊ะในห้องครัวแทงผู้ตายนั้น เห็นว่ามีดของกลางที่จำเลยใช้แทงผู้ตายตามเอกสารหมาย จ.7 มีลักษณะเป็นมีดพกปลายแหลมไม่เหมือนมีดทำครัวตามเอกสารหมาย จ.6 ข้ออ้างของจำเลยที่ว่าจำเลยคว้าเอามีดทำครัวของกลางมาแทงผู้ตายขณะที่ผู้ตายจ้องปืนจะยิงจำเลยพอดี เป็นการพบเห็นมีดของกลางโดยบังเอิญ จึงขัดต่อเหตุผลไม่อาจเชื่อถือได้ ประกอบกับจำเลยไม่ได้รับบาดเจ็บจากการกระทำของผู้ตายเลย ทั้ง ๆ ที่ผู้ตายมีอาวุธปืนอยู่ในมือซึ่งอาจยิงหรือทำร้ายจำเลยให้บาดเจ็บได้บ้าง เป็นการชี้ให้เห็นว่าจำเลยได้พกมีดปลายแหลมของกลางติดตัวไปในคืนเกิดเหตุนั่นเองแล้วใช้มีดนั้นแทงผู้ตาย จำเลยนำสืบต่อไปว่าก่อนเกิดเหตุผู้ตายชักปืนออกมาควงส่วนไปมาที่โต๊ะอาหาร จำเลยพูดว่า อย่าหาเรื่องกันเลยจนกระทั่งนายอามีน พาลีรักษ์ เข้ามาห้ามปรามผู้ตายและสอบถามจำเลยว่ามีเรื่องอะไรกัน แสดงให้เห็นว่าจำเลยมีเรื่องโกรธเคืองกับผู้ตายมาก่อนเป็นเหตุให้จำเลยเคืองแค้นแล้วใช้มีดแทงผู้ตาย เมื่อพิเคราะห์ลักษณะบาดแผลทั้งสองแห่งตามเอกสารหมาย จ.10ดังกล่าวแล้ว เชื่อได้ว่าจำเลยแทงผู้ตายที่ชายโครงขวาด้านหลังด้านนอก ซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญเป็นแผลแรก ขณะที่ผู้ตายยังไม่รู้ตัวและไม่ได้ต่อสู้ เมื่อผู้ตายรู้ตัวหันมาหาจำเลย ก็ถูกแทงเป็นแผลที่สองที่ชายโครงซ้ายด้านหน้า ซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญอีกเช่นกันเป็นแผลฉกรรจ์ถึงขนาดลำไส้ทะลักออกมาให้เห็นและไม่อาจต่อสู้ได้แสดงให้เห็นว่าจำเลยแทงผู้ตายเต็มแรงเพียงฝ่ายเดียวโดยผู้ตายไม่มีโอกาสต่อสู้ ข้อนำสืบของจำเลยไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้คดีฟังไม่ได้ว่าจำเลยแทงผู้ตายเพื่อป้องกันตัว แต่ฟังได้ว่าจำเลยแทงผู้ตายโดยเจตนาฆ่า จำเลยจึงต้องมีความผิดตามฟ้อง
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น