คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1137/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โคเป็นของจำเลยและพ่อตารวมกัน จำเลยเป็นผู้เลี้ยงดูรักษาแต่ผู้เดียว โดยเวลาเช้าจำเลยก็เปิดคอกปล่อยโคให้ออกหากินโดยลำพัง ไม่มีคนคอยควบคุมเลี้ยงดูรักษา ตกเวลาเย็นจำเลยจึงไปไล่กลับมาเข้าคอก ดังนี้ต้องถือว่าจำเลยเป็นผู้ควบคุมสัตว์ตามความหมายแพ่ง ประมวลกฎหมาย อาญา มาตรา 395แล้ว การที่จำเลยไม่ควบคุมปล่อยปละละเลยให้โคเข้าไปกัดกินพืชพันธุ์ในไร่ของผู้เสียหายปลูกไว้ จึงมีความผิด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องมีใจความว่า จำเลยปล่อยปละละเลยให้วัว ๔๖ ตัวเข้าไปในไร่ปอและกินต้นปอของผู้มีชื่อเสียหาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๙๕
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยตามฟ้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า คดีไม่ได้ความแน่ชัดว่า ขณะที่โคเข้าไปกัดกินในไร่ปอนั้น จำเลยอยู่ในฐานะเป็นผู้ควบคุมโค แล้วปล่อยปละละเลยให้โคเข้าไป จึงยังไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๙๕ พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
อัยการโจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโคนั้นเป็นของจำเลยและพ่อตาจำเลยรวมกัน พ่อตาจำเลยชราแล้ว และจำเลยเป็นผู้เลี้ยงดูรักษาแต่ผู้เดียว โดยเวลาเช้าจำเลยก็เปิดคอกปล่อยโคทั้งหมดนั้นให้ออกหากินโดยลำพัง ไม่มีคนคอยควบคุมเลี้ยงดูรักษา ครั้นตกเวลาเย็นจำเลยจึงไล่กลับมาเข้าคอก ดังนี้ พฤติการณ์ก็ต้องถือว่าจำเลยเป็นผู้ควบคุมสัตว์ตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๙๕ แล้ว การที่จำเลยไม่ควบคุมปล่อยปละละเลยให้โคเข้าไปกัดกินพืชพันธุ์ในไร่ปอนั้น จึงมีความผิด
พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share