คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1708/2535

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่จำเลยพาผู้เสียหายไปจากมารดาและร่วมประเวณีกับผู้เสียหายหากจำเลยมีเจตนาที่จะอยู่กินกับผู้เสียหายฉันสามีภริยาจริง เมื่อผู้เสียหายตั้งครรภ์จำเลยก็น่าจะต้องรับผิดชอบเลี้ยงดูผู้เสียหาย แต่จำเลยกลับปฏิเสธไม่ยอมรับผิดชอบ เมื่อถูกดำเนินคดีจำเลยก็มิได้มีความสำนึกในความรับผิดกลับต่อสู้คดีเบิกความถึงผู้เสียหายว่าเคยมีความสัมพันธ์กับชายอื่นมาแล้วถึงสองคนเป็นการสร้างความเสียหายให้แก่ผู้เสียหายมากขึ้น แม้ขณะเกิดเหตุจำเลยจะอายุ 19 ปีเศษ และไม่เคยกระทำผิดมาก่อน แต่จำเลยเรียนหนังสือในระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ ย่อมจะมีความรู้สึกผิดชอบชั่วดี แต่จำเลยหาได้มีความสำนึกในความผิดของตนไม่กรณีจึงไม่มีเหตุอันควรปรานี สมควรให้ลงโทษจำคุกจำเลยโดยไม่รอการลงโทษ.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319
จำเลยไม่ได้ให้การ ถือว่าจำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319 วรรคแรก ให้จำคุก 4 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุก 2 ปี และปรับ 4,000 บาทให้รอการลงโทษจำคุกไว้มีกำหนด 3 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา ขอให้ลงโทษจำเลยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติตามคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ว่า ตามวันเวลาเกิดเหตุในฟ้อง จำเลยได้หลอกลวงผู้เสียหาย ซึ่งเป็นผู้เยาว์อายุกว่าสิบเจ็ดปีว่าจะพาผู้เสียหายไปทำงานเป็นช่างที่ร้านเสริมสวยที่ในกรุงเทพมหานคร ระหว่างที่จำเลยพาผู้เสียหายไปพักอยู่กับพี่สาวของจำเลย จำเลยได้ร่วมประเวณีกับผู้เสียหายจนกระทั่งตั้งครรภ์ ต่อมามารดาผู้เสียหายทราบเรื่องได้ติดต่อจะให้จำเลยแต่งงานกับผู้เสียหาย แต่ตกลงกันไม่ได้ เพราะจำเลยไม่ยอมรับผิดชอบ มารดาของผู้เสียหายจึงพาผู้เสียหายไปแจ้งความดำเนินคดีแก่จำเลยข้อหาพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี แต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากบิดามารดาเพื่อการอนาจารโดยผู้เสียหายเต็มใจไปด้วย คดีมีปัญหาวินิจฉัยในชั้นนี้แต่เพียงว่า ที่ศาลอุทธรณ์ใช้ดุลพินิจลงโทษจำเลยข้อหาความผิดดังกล่าว เหมาะสมกับพฤติการณ์แห่งคดีหรือไม่ เห็นว่า การที่จำเลยพาผู้เสียหายไปจากมารดาและได้ร่วมประเวณีกับผู้เสียหาย หากจำเลยมีเจตนาที่จะอยู่กินกับผู้เสียหายฉันสามีภริยาจริง เมื่อผู้เสียหายตั้งครรภ์จำเลยก็น่าจะต้องรับผิดชอบเลี้ยงดูผู้เสียหาย แต่จำเลยกลับปฏิเสธไม่ยอมรับผิดชอบ เมื่อถูกดำเนินคดีจำเลยก็มิได้มีความสำนึกในความรับผิดชอบของตน กลับต่อสู้คดีเบิกความกล่าวถึงผู้เสียหายว่าเคยมีความสัมพันธ์กับชายอื่นมาแล้วถึงสองคน อันเป็นการสร้างความเสียหายให้แก่ผู้เสียหายมากขึ้นแม้ขณะเกิดเหตุจำเลยจะอายุ 19 ปีเศษ และไม่เคยกระทำผิดมาก่อน แต่จำเลยก็เรียนหนังสือในระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ ย่อมจะมีความรู้สำนึกรับผิดชอบชั่วดี แต่จำเลยก็หาได้มีความสำนึกในความผิดของตนไม่ กรณีจึงไม่มีเหตุอันควรปรานี ศาลฎีกาเห็นสมควรให้ลงโทษจำคุกจำเลยตามที่ศาลอุทธรณ์กำหนดโทษมาโดยไม่รอการลงโทษและไม่ปรับ…”
พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่รอการลงโทษและไม่ปรับจำเลย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share