แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
การที่จำเลยบุกรุกเข้าไปในที่ดินของโจทก์และถูกโจทก์ฟ้องคดีอาญาจนศาลพิพากษาลงโทษคดีถึงที่สุด แต่จำเลยก็ไม่รื้อบ้านออกไปจากที่พิพาท กลับเข้าไปอยู่อีกจึงเป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาโดยตรง ซึ่งการพิพากษาคดีส่วนแพ่งศาลจึงต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ในคดีส่วนอาญา แต่ส่วนแพ่งฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยเข้าไปปลูกบ้านอยู่อาศัยในที่ดินของโจทก์ บังคับให้จำเลยและบริวารรื้อถอน ห้ามเกี่ยวข้อง หากไม่รื้อ ให้โจทก์เป็นผู้รื้อโดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 30 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะรื้อถอน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “เมื่อทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยถูกพนักงานอัยการจังหวัดนครสวรรค์ฟ้องในความผิดฐานบุกรุกเข้าไปปลูกบ้านอยู่อาศัยในที่ดินของโจทก์ โฉนดที่ 6532 ตำบลนครสวรรค์ตกอำเภอเมืองนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ จำเลยรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 3 เดือน ปรับ 500 บาท และให้รอการลงโทษจำคุกไว้ 1 ปี คดีถึงที่สุดแล้วก่อนโจทก์ฟ้องคดีนี้ จำเลยเองก็เบิกความยอมรับว่าในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1005/2519 ดังกล่าวจำเลยสารภาพและถูกศาลพิพากษาลงโทษไปแล้วจริง ทั้งนางนวลน้อยเอี่ยมตระกูล ตัวโจทก์คดีนี้ และนายสังวาลย์ จุฬาภรณ์ พยานโจทก์ต่างเบิกความยืนยันเป็นอย่างเดียวกันว่า หลังจากจำเลยถูกฟ้องและศาลพิพากษาลงโทษตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1005/2519 ของศาลชั้นต้นแล้ว จำเลยไม่รื้อบ้านออกไป กลับเข้าไปอยู่อีกจนกระทั่งทุกวันนี้ ดังนั้น คดีนี้จึงเป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1005/2519 ของศาลชั้นต้นโดยตรง ซึ่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 บัญญัติให้การพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา ฉะนั้น ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยบุกรุกเข้าไปปลูกบ้านอยู่ในที่ดินของโจทก์ จำเลยจะอ้างว่าที่ดินที่จำเลยปลูกบ้านไม่ใช่ที่ของโจทก์หาได้ไม่ จำเลยจึงไม่มีสิทธิที่จะอยู่ในที่ดินของโจทก์ จึงชอบแล้ว”
พิพากษายืน