แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์มิได้กล่าวในฟ้องว่าสัญญาขายฝากที่ดิน ระหว่างโจทก์จำเลยเป็นโมฆะ เมื่อศาลชั้นต้นชี้สองสถานก็มิได้กำหนดประเด็นข้อนี้ไว้ฉะนั้นที่โจทก์จำเลยนำสืบถึงปัญหาดังกล่าวจึงเป็นข้อเท็จจริงนอกคำฟ้องและคำให้การ ไม่ใช่เป็นข้อเท็จจริงแห่งคดี แม้ว่าปัญหาดังกล่าวจะเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนซึ่งศาลอาจยกขึ้นวินิจฉัยชี้ขาดตัดสินคดีเองได้ แต่ก็เป็นข้อกฎหมายที่มิได้เกิดจากข้อเท็จจริงในประเด็นในการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยชอบ ไม่สมควรที่จะยกปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวขึ้นวินิจฉัย.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยรับเงินค่าไถ่ที่ดินที่โจทก์ขายฝากไว้เป็นจำนวน 30,000 บาท ให้จำเลยนำ น.ส. 3 ก. เลขที่ 907ไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์ หากจำเลยไม่ยอมก็ขอให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทนจำเลย
จำเลยให้การว่า เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2526 โจทก์ได้นำที่ดินตามฟ้องมาขายฝากจำเลยมีกำหนดเวลาไถ่คืน 2 ปี มิใช่ 3 ปีดังที่โจทก์ฟ้อง และโจทก์ไม่ขอไต่คืนภายในกำหนด 2 ปี จึงไม่มีสิทธิไถ่ที่ดินคืน ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ แต่ไม่ตัดสิทธิที่โจทก์จะฟ้องคดีใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148(3)
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติได้ว่าหนังสือสัญญาขายฝากที่ดินเอกสารหมาย จ.1 หรือ ล.1 ระหว่างโจทก์กับจำเลยได้จดทะเบียนไว้มีกำหนดไถ่ถอนคืนภายใน 2 ปี และโจทก์ฟ้องขอไถ่ถอนการขายฝากเกินกำหนดดังกล่าวแล้ว มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่า ศาลจะยกปัญหาเรื่องหนังสือสัญญาขายฝากดังกล่าวเป็นโมฆะขึ้นวินิจฉัยได้หรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ยอมรับในคำฟ้องว่าได้ขายฝากที่พิพาทไว้กับจำเลยกำหนดไถ่คืนภายในสองปีและสินไถ่เป็นเงิน 30,000 บาท โจทก์ไม่ได้กล่าวไว้ในฟ้องว่าหนังสือสัญญาขายฝากที่ดินระหว่างโจทก์จำเลยเป็นโมฆะ เมื่อศาลชั้นต้นชี้สองสถานก็กำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ว่า สัญญาขายฝากระหว่างโจทก์กับจำเลยมีกำหนดระยะเวลา 3 ปี หรือ 2 ปี หาได้กำหนดประเด็นข้อนี้ไว้แม้ว่าโจทก์จำเลยนำสืบพยานถึงปัญหาดังกล่าวก็เป็นข้อเท็จจริงที่นอกคำฟ้องและนอกคำให้การไม่ใช่เป็นข้อเท็จจริงแห่งคดี ดังนั้นที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์ได้เคยกู้ยืมเงินจำเลย 5,000 บาทและได้ชำระหนี้ด้วยมันสำปะหลังและเงิน 1,200 บาท จนหมดหนี้แล้วการจดทะเบียนการขายฝากก็มิได้ชำระเงินกัน สัญญาขายฝากจึงเป็นโมฆะเพราะโจทก์ไม่มีเจตนาจะทำสัญญากับจำเลยที่ทำไปเพราะกลัวและไม่รู้เรื่อง เป็นการขาดเจตนาในการทำนิติกรรม พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์แต่ไม่ตัดสิทธิที่โจทก์จะฟ้องคดีใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148(3) นั้น จึงเป็นเรื่องที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยเกินไปจากที่กล่าวไว้ในคำฟ้อง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 และไม่มีเหตุผลใดที่จะวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็นข้อพิพาทแห่งคดี แม้ว่าปัญหาดังกล่าวจะเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนซึ่งศาลอาจยกขึ้นวินิจฉัยชี้ขาดตัดสินคดีไปได้โดยมิต้องมีคู่ความฝ่ายใดกล่าวอ้างก็ตาม แต่ก็เป็นข้อกฎหมายที่มิได้เกิดจากข้อเท็จจริงในประเด็นข้อพิพาทในการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยชอบ สำหรับคดีนี้ศาลฎีกาไม่เห็นสมควรที่จะยกปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวขึ้นวินิจฉัย…”
พิพากษายืน.