คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 16572/2555

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์แล่นสวนทางกับรถจักรยานยนต์ที่จำเลยที่ 2 ขับ เมื่อถึงบริเวณสี่แยกจำเลยที่ 1 ขับรถความเร็วสูงโดยประมาทไม่ดูให้ดีว่าในขณะนั้นมีรถจักรยานยนต์ของจำเลยที่ 2 แล่นสวนทางมาในช่องฝั่งตรงกันข้าม และขณะนั้นจำเลยที่ 1 จะขับรถเลี้ยวไปทางขวามือเพื่อผ่านสี่แยกดังกล่าว ส่วนจำเลยที่ 2 ก็ขับรถจักรยานยนต์ด้วยความเร็วสูงโดยประมาทเช่นเดียวกันไม่ดูให้ดีว่าขณะนั้นมีรถของจำเลยที่ 1 กำลังเลี้ยวผ่านหน้าไป ทำให้จำเลยทั้งสองไม่สามารถหยุดรถหรือชะลอความเร็วของรถให้ช้าลงพอที่จะขับหลบหลีกไม่เฉี่ยวชนกันได้ รถของจำเลยที่ 1 และรถของจำเลยที่ 2 จึงพุ่งเข้าเฉี่ยวชนกันอย่างแรง ทำให้รถทั้งสองคันได้รับความเสียหาย และเป็นเหตุให้จำเลยที่ 2 ตกจากรถได้รับอันตรายสาหัส ฟ้องโจทก์ดังกล่าวได้บรรยายถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยที่ 2 กระทำโดยประมาท และผลของการกระทำโดยประมาทของจำเลยที่ 2 แล้ว แม้จะบรรยายต่อไปว่าจำเลยที่ 2 ได้รับอันตรายสาหัส แต่ก็เป็นผลมาจากการกระทำของจำเลยที่ 2 เองด้วย เมื่อจำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพ แสดงว่าจำเลยที่ 2 เข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว ฟ้องของโจทก์จึงชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5) แต่เมื่อการที่จำเลยที่ 2 ได้รับอันตรายสาหัสเป็นผลมาจากการกระทำของจำเลยที่ 2 เอง จึงไม่อาจลงโทษจำเลยที่ 2 ตาม ป.อ. มาตรา 300 ได้ ที่ศาลล่างทั้งสองลงโทษจำเลยที่ 2 ในความผิดฐานดังกล่าวด้วยนั้น เป็นการลงโทษในการกระทำความผิดที่ไม่ได้กล่าวในฟ้อง ต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยกับพวกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 300 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43, 157 พระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ.2522 มาตรา 42, 64 พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ.2535 มาตรา 11, 39
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ แต่ก่อนสืบพยานโจทก์ จำเลยทั้งสองขอถอนคำให้การเดิมและให้การใหม่เป็นรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43 (4), 157 การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายสาหัสซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 1 ปี และปรับ 6,000 บาท ส่วนจำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43 (4), 157 พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ.2535 มาตรา 11, 39 พระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ.2522 มาตรา 42 (ที่ถูก มาตรา 42 วรรคหนึ่ง), 64 การกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นการกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานใช้รถที่ไม่ได้จัดให้มีการประกันความเสียหาย ปรับ 2,000 บาท ฐานขับรถโดยไม่ได้รับใบอนุญาตขับรถ ปรับ 500 บาท ส่วนความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2520 (ที่ถูก พ.ศ.2522) มาตรา 43 (4), 157 และฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้บุคคลอื่นรับอันตรายสาหัสตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300 เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายสาหัสซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 1 ปี และปรับ 6,000 บาท รวมจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 1 ปี และปรับ 8,500 บาท จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 6 เดือน และปรับ 3,000 บาท ส่วนจำเลยที่ 2 คงจำคุก 6 เดือน และปรับ 4,250 บาท พิเคราะห์แล้ว ไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองได้รับโทษจำคุกมาก่อนเห็นสมควรปรานีให้โอกาสกลับตัวเป็นพลเมืองดีจึงรอการลงโทษจำคุกไว้ 2 ปี ให้คุมความประพฤติของจำเลยทั้งสองโดยให้ไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ 4 ครั้ง ภายใน 1 ปี แต่ละครั้งห่างกันไม่น้อยกว่า 2 เดือน กับให้จำเลยทั้งสองกระทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามที่พนักงานคุมประพฤติและจำเลยทั้งสองเห็นสมควรเป็นเวลา 24 ชั่วโมง ภายในกำหนดเวลา 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องในความผิดฐานขับรถโดยประมาทและฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายสาหัสว่า จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์กระบะหมายเลขทะเบียน ลษ 1178 กรุงเทพมหานคร แล่นไปตามถนนถีนานนท์ จากทางด้านอำเภอกันทรวิชัยมุ่งหน้าเข้าอำเภอเมืองมหาสารคาม ในขณะเดียวกันจำเลยที่ 2 ขับรถจักรยานยนต์ ยี่ห้อฮอนด้า ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียนแล่นไปตามถนนถีนานนท์ จากทางด้านอำเภอเมืองมหาสารคามมุ่งหน้าไปทางอำเภอกันทรวิชัยในลักษณะแล่นสวนทางกัน เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุทางร่วมทางแยกซึ่งเป็นสี่แยกดินดำบ้านวังยาว บริเวณสี่แยกจะมีป้ายเครื่องหมายจราจรเตือนว่าเป็นทางร่วมทางแยกและสัญญาณจราจรไฟเปิดกะพริบเตือน จำเลยที่ 1 ขับรถมาด้วยความเร็วสูงเกินสมควรไม่ระมัดระวังดูให้ดีว่ามีป้ายเครื่องหมายจราจรเตือนว่าทางข้างหน้าเป็นทางร่วมทางแยก ขณะนั้นจำเลยที่ 1 ประสงค์จะขับรถเลี้ยวไปทางขวามือเพื่อผ่านสี่แยกดังกล่าว ส่วนจำเลยที่ 2 ขับรถจักรยานยนต์ดังกล่าวในสภาพที่ไม่มีโคมไฟหน้าและไม่มีห้ามล้อหน้าด้วยความเร็วสูงเกินสมควรโดยไม่ระมัดระวังดูทางข้างหน้าให้ดีเช่นเดียวกับจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 1 ไม่ชะลอหรือลดความเร็วของรถให้ช้าลงหรือต้องหยุดรถเมื่อขับรถมาถึงสี่แยก แล้วจำเลยที่ 1 ได้ขับรถเลี้ยวไปทางขวามือตัดผ่านสี่แยกดังกล่าวในทันทีทันใดโดยไม่ดูให้ดีว่าในขณะนั้นมีรถจักรยานยนต์ของจำเลยที่ 2 แล่นสวนทางมาในช่องฝั่งตรงข้าม ส่วนจำเลยที่ 2 ก็ยังคงขับรถดังกล่าวด้วยความเร็วสูงเกินสมควร โดยจำเลยที่ 2 ไม่ชะลอหรือลดความเร็วของรถให้ช้าลงหรือต้องหยุดรถเมื่อมาถึงทางร่วมทางแยกเพื่อดูให้ดีว่าในขณะนั้นมีรถของจำเลยที่ 1 กำลังเลี้ยวผ่านหน้าไป และด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวังของจำเลยทั้งสองดังกล่าว ทำให้จำเลยทั้งสองไม่สามารถหยุดรถหรือชะลอความเร็วของรถให้ช้าลงพอที่จะขับหลบหลีกไม่เฉี่ยวชนกันได้ รถยนต์ของจำเลยที่ 1 และรถจักรยานยนต์ของจำเลยที่ 2 จึงพุ่งเข้าเฉี่ยวชนกันอย่างแรง ทำให้รถทั้งสองคันได้รับความเสียหาย และเป็นเหตุให้จำเลยที่ 2 ตกจากรถได้รับอันตรายสาหัสต้องป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาและจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวัน ฟ้องโจทก์ดังกล่าวได้บรรยายถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยที่ 2 กระทำโดยประมาทและผลของการกระทำโดยประมาทของจำเลยที่ 2 แล้ว แม้จะบรรยายฟ้องต่อไปว่าจำเลยที่ 2 ได้รับอันตรายสาหัส แต่ก็เป็นผลมาจากการกระทำของจำเลยที่ 2 เองด้วย เมื่อจำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพ แสดงว่าจำเลยที่ 2 เข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว ฟ้องโจทก์จึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) แต่เมื่อการที่จำเลยที่ 2 ได้รับอันตรายสาหัสเป็นผลมาจากการกระทำของจำเลยที่ 2 เอง ดังวินิจฉัยข้างต้น จึงไม่อาจลงโทษจำเลยที่ 2 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300 ได้ จำเลยที่ 2 จึงมีความผิดฐานขับรถโดยประมาทตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43 (4), 157 เท่านั้น ที่ศาลล่างทั้งสองลงโทษจำเลยที่ 2 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300 จึงเป็นการลงโทษในการกระทำความผิดที่ไม่ได้กล่าวในฟ้อง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคหนึ่ง ฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43 (4), 157 ปรับ 1,000 บาท ลดโทษให้กึ่งหนึ่งแล้ว คงปรับ 500 บาท เมื่อรวมกับโทษในความผิดฐานอื่นแล้ว เป็นปรับจำเลยที่ 2 เป็นเงิน 1,750 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4

Share