คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1118/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ผู้ร้องจะหลุดพ้นจากการค้ำประกันชั้นทุเลาการบังคับตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นซึ่งต่อมาศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาพิพากษายืนและมีสิทธิขอถอนโฉนดที่ดินที่ผู้ร้องนำมาวางเป็นประกันคืนได้ก็ต่อเมื่อโจทก์ทั้งสองไม่ได้ขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีและไม่แถลงต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีขอให้ยึดทรัพย์สินของจำเลยและผู้ร้องภายในสิบปีนับแต่วันที่ศาลฎีกามีคำพิพากษาตามนัยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความมาตรา271ฉะนั้นการที่ศาลชั้นต้นด่วนยกคำแถลงของผู้ร้องที่อ้างเหตุดังกล่าวโดยมิได้ไต่สวนเพื่อทราบข้อเท็จจริงนั้นเสียก่อนจึงไม่ชอบ

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากบ้านและที่ดินของโจทก์ทั้งสอง ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสองเดือนละ 5,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากบ้านและที่ดินของโจทก์ทั้งสอง
จำเลยอุทธรณ์และขอทุเลาการบังคับในระหว่างอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ทุเลาการบังคับในเรื่องขับไล่ ส่วนในเรื่องค่าเสียหายอนุญาตให้ทุเลาการบังคับต่อเมื่อจำเลยหาประกันสำหรับจำนวนเงินที่จะต้องชำระแก่โจทก์ทั้งสองตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นนับแต่วันฟ้องจนถึงวันทราบคำสั่งมาให้เป็นที่พอใจและภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดมิฉะนั้นให้ยกคำร้องในส่วนค่าเสียหาย
ผู้ร้องได้นำโฉนดที่ดินเลขที่ 43393 ตำบลสำโรงเหนือ อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องมอบแก่ศาลชั้นต้นเพื่อยึดถือเป็นหลักประกัน โดยทำหนังสือสัญญาค้ำประกันลงวันที่ 22 มีนาคม 2525 ไว้ต่อศาลว่า ถ้าจำเลยแพ้คดีและไม่นำเงินมาชำระแก่โจทก์ทั้งสองตามคำพิพากษา ยอมให้บังคับคดีจากหลักทรัพย์ที่นำมาวางเป็นหลักประกันได้ทันที
ต่อมาคดีดังกล่าวศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาพิพากษายืนโดยศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาเมื่อวันที่ 17 เมษายน 2527ผู้ร้องจึงยื่นคำร้องขอคืนหลักประกันศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องและศาลอุทธรณ์พิพากษายืน เพราะจำเลยยังไม่ได้ชำระหนี้แก่โจทก์ทั้งสองตามคำพิพากษา ผู้ร้องจึงยังต้องผูกพันตามหนังสือสัญญาค้ำประกัน ไม่มีสิทธิขอถอนโฉนดที่ดินที่วางไว้เป็นหลักประกันคืน
ผู้ร้องยื่นคำแถลงขอคืนหลักประกันอีกเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2538อ้างว่าคดีถึงที่สุดโดยไม่มีการบังคับคดี จำเลยได้ขนย้ายสิ่งของออกไปจากบ้านพิพาทและจำเลยถึงแก่ความตายไปนานแล้ว ศาลได้ปลดเผาสำนวนไปตามระเบียบแล้วเมื่อเดือนพฤษภาคม 2538
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำแถลงเพราะมีการออกหมายบังคับคดียึดทรัพย์สินของผู้ร้องในฐานะผู้ค้ำประกัน ทั้งไม่ปรากฎว่ามีการชำระหนี้รายนี้แล้วหรือไม่ จึงยังไม่มีเหตุที่จะคืนหลักทรัพย์ดังกล่าว
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งของศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นไต่สวนคำแถลงของผู้ร้องตามนัยดังกล่าวข้างต้นแล้วมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่าจำเป็นต้องไต่สวนคำแถลงของผู้ร้องฉบับลงวันที่ 9 ตุลาคม 2538หรือไม่ พิเคราะห์คำแถลงของผู้ร้องแล้ว ผู้ร้องได้แถลงขอรับโฉนดที่ดินเลขที่ 43393 ตำบลสำโรงเหนือ อำเภอเมืองสมุทรปราการจังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งผู้ร้องได้วางไว้ต่อศาลเพื่อค้ำประกันจำเลยหากจำเลยแพ้คดีโจทก์ทั้งสองและไม่นำเงินมาชำระให้โจทก์ทั้งสองตามคำพิพากษา โดยอ้างเหตุว่าโจทก์ทั้งสองไม่ได้ดำเนินการตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีและไม่แถลงต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อขอให้ยึดทรัพย์สินของจำเลยและผู้ร้องจนพ้นกำหนดสิบปีนับแต่วันมีคำพิพากษา โจทก์ไม่อาจบังคับคดีแก่จำเลยและผู้ร้องได้แล้ว เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271บัญญัติว่า “ถ้าคู่ความหรือบุคคลซึ่งเป็นฝ่ายแพ้คดี (ลูกหนี้ตามคำพิพากษา) มิได้ปฎิบัติตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลทั้งหมดหรือบางส่วน คู่ความหรือบุคคลซึ่งเป็นฝ่ายชนะ (เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา) ชอบที่จะร้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นได้ภายในสิบปีนับแต่วันมีคำพิพากษาหรือคำสั่งโดยอาศัยและตามคำบังคับที่ออกตามคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้น” ดังนั้น การที่ผู้ร้องจะหลุดพ้นการค้ำประกันและมีสิทธิขอถอนโฉนดที่ดินที่ผู้ร้องนำมาวางเป็นประกันคืนก็ต่อเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ทั้งสองไม่ได้ขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีและแถลงต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีขอให้ยึดทรัพย์สินของจำเลยและผู้ร้องภายในสิบปีนับแต่วันที่ศาลฎีกามีคำพิพากษา การที่ศาลชั้นต้นด่วนยกคำแถลงของผู้ร้องโดยมิได้ไต่สวนเพื่อทราบข้อเท็จจริงดังกล่าวเสียก่อนจึงไม่ชอบ ที่ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายกคำสั่งของศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นไต่สวนคำแถลงของผู้ร้องชอบแล้ว ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share