คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3978/2548

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งห้าละเมิดสิทธิในเครื่องหมายการค้าของโจทก์ โดยมีคำขอให้บังคับจำเลยทั้งห้าระงับหรือละเว้นการปลอมสินค้าหรือปลอมเครื่องหมายการค้าของโจทก์ด้วย ซึ่งคำขอในส่วนนี้หมายถึงการระงับหรือละเว้นการกระทำดังกล่าวหลังจากวันที่โจทก์ฟ้องคดีนี้เป็นต้นไป กรณีจึงเป็นเรื่องการกระทำในอนาคตซึ่งยังมิได้เกิดมีการโต้แย้งสิทธิของโจทก์อยู่ในขณะที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิที่จะฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยทั้งห้าดังกล่าวได้ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศฯ มาตรา 26 ประกอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 55 จึงเป็นคำขอบังคับที่ไม่อาจพิพากษาบังคับจำเลยทั้งห้าได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับให้จำเลยทั้งห้าชำระเงินจำนวน 10,636,040.68 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์และให้จำเลยทั้งห้าระงับหรือละเว้นการปลอมสินค้าหรือปลอมเครื่องหมายการค้าของโจทก์
จำเลยทั้งห้าให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศพิพากษาให้จำเลยทั้งห้าชำระเงินจำนวน 610,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันฟ้อง (ฟ้อวันที่ 20 มีนาคม 2544) จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ให้จำเลยทั้งห้าระงับหรือละเว้นการปลอมเครื่องหมายการค้าของโจทก์ ให้จำเลยทั้งห้าใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ในทุนทรัพย์ตามที่โจทก์ชนะคดี คำขออื่นให้ยก
โจทก์และจำเลยทั้งห้าอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า โจทก์เป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าตามฟ้อง จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 กระทำความผิดอาญาฐานร่วมกันปลอมและมีไว้เพื่อจำหน่ายซึ่งสินค้าที่มีเครื่องหมายการค้าปลอมเครื่องหมายการค้าตามฟ้องของโจทก์ อันเป็นการร่วมกันละเมิดสิทธิในเครื่องหมายการค้าของโจทก์ จำเลยที่ 5 เป็นกรรมการและมีอำนาจกระทำการแทนของจำเลยที่ 4 เป็นผู้จัดการฝ่ายส่งออกของจำเลยที่ 1 และเป็นบุตรของจำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 3 โดยพักอาศัยอยู่ด้วยกันที่บ้านซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนักงานของจำเลยที่ 1 มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยทั้งห้าประการแรกว่า จำเลยที่ 5 ต้องรับผิดต่อโจทก์ในกรณีที่มีการละเมิดสิทธิในเครื่องหมายการค้าตามฟ้องด้วยหรือไม่ เห็นว่า ตามหนังสือรับรองเอกสารหมาย จ. 4 ระบุว่า จำเลยที่ 4 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 5 เป็นกรรมการ ซึ่งกรรมการ 2 คน ลงลายมือชื่อร่วมกันและประทับตราสำคัญกระทำการผูกพันจำเลยที่ 4 ได้ และตามคำให้การของจำเลยทั้งห้า ฉบับลงวันที่ 12 เมษายน 2544 ข้อ 5 ระบุว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นกรรมการของจำเลยที่ 4 จริง แต่ก็ไม่ได้เข้าจัดการกิจการค้าของจำเลยที่ 4 กิจการค้าของจำเลยที่ 4 อยู่ภายใต้การจัดการของจำเลยที่ 5 แต่เพียงผู้เดียว เท่ากับจำเลยทั้งห้ารับอยู่ว่าจำเลยที่ 5 เป็นผู้แทนในการดำเนินกิจการค้าของจำเลยที่ 4 แต่ผู้เดียว ซึ่งการที่จำเลยที่ 4 เป็นนิติบุคคลย่อมไม่อาจแสดงเจตนาและกระทำการเองได้ จำเป็นต้องแสดงเจตนาและกระทำการโดยผู้แทนของตน ถือว่าจำเลยที่ 5 มีส่วนรู้เห็นในการดำเนินการและตัดสินใจของจำเลยที่ 4 ด้วย เมื่อรับฟังประกอบข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยที่ 5 เป็นผู้จัดการฝ่ายส่งออกของจำเลยที่ 1 ซึ่งจำเลยทั้งห้านำสืบรับว่าจำเลยที่ 1 กระทำความผิดอาญา กับจำเลยทั้งห้ามีความผูกพันกันอยู่เช่นนี้ พยานหลักฐานของโจทก์เท่าที่นำสืบมามีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังได้ว่า จำเลยที่ 5 มีส่วนรู้เห็นในการกระทำละเมิดสิทธิในเครื่องหมายการค้าตามฟ้องจริง ข้อนำสืบของฝ่ายจำเลยที่ว่าจำเลยที่ 4 ไม่ได้ละเมิดในเครื่องหมายการค้าของโจทก์ จำเลยที่ 5 จึงไม่เกี่ยวข้องด้วยนั้น ไม่อาจรับฟังหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้ นอกจากนี้อุทธรณ์ของจำเลยทั้งห้าที่ว่า จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 4 เป็นนิติบุคคลแยกต่างหากจากกันก็ดี การอ้างความสัมพันธ์ในครอบครัวเพื่อสรุปว่าจำเลยที่ 5 ร่วมกระทำความผิดด้วยไม่ถูกต้องก็ดี หรือที่ตั้งของจำเลยที่ 1 และที่ 4 แม้จะอยู่ในบริเวณเดียวกันแต่ก็ต้องใช้เวลาเดินถึง 5 นาทีก็ดี ไม่อาจรับฟังหักล้างเช่นกัน ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางวินิจฉัยให้จำเลยที่ 5 ร่วมรับผิดต่อโจทก์ในกรณีที่มีการละเมิดสิทธิในเครื่องหมายการค้าตามฟ้องด้วยนั้น ชอบแล้ว อุทธรณ์ของจำเลยทั้งห้าในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์และจำเลยทั้งห้าประการต่อมามีว่าจำเลยทั้งห้าต้องรับผิดต่อโจทก์เพียงใด เห็นว่า สำหรับค่าเสียหายรายการค่าจ้างทนายความในการติดตามพฤติการณ์ของจำเลยที่ 1 และผู้เกี่ยวข้อง รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการดำเนินการต่าง ๆ นั้น โจทก์มีนายณัฐวุฒิ พลภักดี ผู้รับมอบอำนาจโจทก์เบิกความว่า ค่าเสียหายของโจทก์ในส่วนนี้รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 12,566 ดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นเงินไทยจำนวน 552,152.68 บาท ปรากฏตามสำเนาใบแจ้งหนี้เอกสารหมาย จ. 28 ซึ่งโจทก์ได้โอนชำระให้แก่สำนักงานทนายความเอพีเอแล้ว ปรากฏตามสำเนารายการตามสมุดคู่ฝากบัญชีออมทรัพย์ของสำนักงานทนายความเอ พี เอ ใบเสร็จรับเงินและใบเสร็จชำระค่าภาษีอากรออกให้โดยสรรพากรเขตปทุมวัน เอกสารหมาย จ. 29 ถึง จ. 31 ตามลำดับ แม้พยานจะได้เบิกความถึงรายละเอียดของค่าใช้จ่ายดังกล่าวว่าเป็นการใช้คนเฝ้าดูบริเวณสำนักงานของฝ่ายจำเลยและบุคคลอื่น ค่ารถในการดำเนินการค่าตอบแทนตำรวจสำหรับเข้าจับกุม ค่าดำเนินการของทนายความและเสมียนทนายความ ค่าตรวจสอบเอกสาร ค่าแปลเอกสาร การนำพยานไปให้พนักงานสอบสวนการรับพนักงานสอบสวนไปสอบสวนที่ต่าง ๆ ค่าใช้จ่ายในการจัดเตรียมเอกสารค่าถ่ายเอกสาร รวมทั้งค่าพาหนะที่จะต้องดำเนินการทุกขั้นตอน แต่เห็นได้ว่า ค่าใช้จ่ายที่กล่าวมาข้างต้นไม่มีรายละเอียดที่ชัดเจนแยกในแต่ละรายการ บางรายการก็เป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่พึงต้องจ่ายดังที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางได้วินิจฉัยมาแล้ว และบางรายการมีความซ้ำซ้อนกันอยู่ เช่น ค่าพาหนะกับการนำพยานไปให้พนักงานสอบสวนและการรับพนักงานสอบสวนไปสอบสวน เป็นต้น จึงเป็นกรณีที่โจทก์ยังไม่อาจนำสืบพิสูจน์ได้ชัดเจนว่า จำนวนเงินที่โจทก์ได้จ่ายไปนั้นเป็นค่าสินไหมทดแทนอันจะพึงได้ใช้ทดแทนต่อกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 438 วรรคสอง หรือไม่ อย่างไรก็ดีจำเลยทั้งห้าไม่ได้โต้แย้งว่าโจทก์มีความเสียหายในส่วนนี้จริงหรือไม่ เพียงโต้แย้งว่าค่าเสียหายในส่วนนี้ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางกำหนดมานั้นสูงเกินไป ศาลฎีกาแผนกทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศเห็นว่า ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศได้พิจารณาและใช้ดุลพินิจในการกำหนดค่าเสียหายในส่วนนี้ให้แก่โจทก์เหมาะสมดีแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์และจำเลยทั้งห้าในข้อนี้จึงฟังไม่ขึ้น
สำหรับค่าเสียหายในเรื่องค่าลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์ ซึ่งโจทก์ได้เรียกมาเป็นเงินจำนวน 83,888 บาท ปรากฏตามประกาศโฆษณาและใบเสร็จรับเงินรวม 3 ชุด เอกสารหมาย จ. 32 ถึง จ. 37 นั้น เห็นว่า นายณัฐวุฒิเบิกความประกอบประกาศโฆษณาดังกล่าวว่า โฆษณาจะมีรายการสินค้าของโจทก์ 5 รายการ เป็นสินค้าที่มีการปลอมในคดีนี้ 1 รายการ เท่ากับว่าการประกาศโฆษณาสินค้าดังกล่าวของโจทก์เป็นไปเพื่อประโยชน์ในกิจการค้าของโจทก์ด้วย ซึ่งค่าใช้จ่ายในการโฆษณานับเป็นค่าใช้จ่ายตามปกติของการทำการค้า ทั้งไม่ได้มีผลโดยตรงจากการกระทำความผิดครั้งนี้ทั้งหมด ดังนั้น ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกำหนดค่าเสียหายบางส่วนให้แก่โจทก์จึงเหมาะสมดีแล้ว ศาลฎีกาแผนกทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ที่ขอค่าเสียหายในส่วนนี้ทั้งหมด และอุทธรณ์ของจำเลยทั้งห้าที่ว่าไม่ต้องรับผิดทั้งหมดแล้วฟังไม่ขึ้น
ค่าเสียหายรายการสุดท้ายได้แก่ ค่าเสียชื่อเสียงเกียรติคุณของสินค้าโจทก์เห็นว่า การที่จำเลยทั้งห้าผลิตและจำหน่ายสินค้าที่มีคุณภาพต่ำโดยใช้เครื่องหมายการค้าตามฟ้องของโจทก์ปลอม ย่อมทำให้เกิดความเสียหายต่อชื่อเสียงเกียรติคุณแก่สินค้าของโจทก์ และมีผลกระทบต่อการจำหน่ายสินค้าของโจทก์ในประเทศไทย แต่โจทก์ไม่อาจนำสืบให้ปรากฏถึงความเสียหายในส่วนนี้ คงเป็นเรื่องที่โจทก์กำหนดจำนวนค่าเสียหายโดยปราศจากหลักฐานมาสนับสนุน ดังนั้น ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางกำหนดค่าเสียหายให้แก่โจทก์บางส่วนจึงเหมาะสมดีแล้ว ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ที่ขอค่าเสียหายจำนวน 4,673,959.32 บาท และอุทธรณ์ของจำเลยทั้งห้าที่ว่าไม่ต้องรับผิดทั้งหมดฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
อนึ่ง ตามคำขอบังคับท้ายคำฟ้องของโจทก์ที่ขอให้บังคับจำเลยทั้งห้าระงับหรือละเว้นการปลอมสินค้าหรือปลอมเครื่องหมายการค้าของโจทก์ ซึ่งหมายถึงการระงับหรือละเว้นกระทำการดังกล่าวหลังจากวันที่โจทก์ฟ้องคดีนี้เป็นต้นไปนั้น เป็นเรื่องการกระทำในอนาคตซึ่งยังมิได้เกิดมีการโต้แย้งสิทธิของโจทก์อยู่ในขณะที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิที่จะฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยทั้งห้าดังกล่าวได้ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2539 มาตรา 26 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 จึงเป็นคำขอบังคับที่ไม่อาจพิพากษาบังคับจำเลยทั้งห้าได้ ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาบังคับจำเลยทั้งห้าตามคำขอนี้จึงมิชอบ และปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศเห็นสมควรยกขึ้นแก้ไขเสียให้ถูกต้อง”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอของโจทก์ที่ขอให้บังคับจำเลยทั้งห้าระงับหรือละเว้นการปลอมเครื่องหมายการค้าของโจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ

Share