คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3976/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานพยายามฆ่า แต่การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ จำเลยมิได้อุทธรณ์ กลับแก้อุทธรณ์ของโจทก์และขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นการป้องกัน ดังนี้ ที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยใช้อาวุธปืนของกลางยิงผู้เสียหายโดยไม่มีเจตนาฆ่า จึงเป็นฎีกาในข้อที่จำเลยมิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15
ก่อนเกิดเหตุผู้เสียหายชกต่อยทำร้ายจำเลยที่ชั้นสองของตึกแถว แล้ววิ่งขึ้นไปที่ห้องพักผู้เสียหายที่ชั้นสาม จำเลยตามผู้เสียหายขึ้นไปเพื่อจะทำร้ายผู้เสียหาย เมื่อเห็นผู้เสียหายยืนอยู่ตรงทางเข้าห้องพักผู้เสียหาย จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหาย 1 นัด ถูกที่บริเวณหน้าท้อง ดังนี้ แม้ผู้เสียหายจะเป็นฝ่ายก่อเหตุทำร้ายจำเลยก่อน แต่ขณะจำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหาย ผู้เสียหายไม่ได้จะเข้าทำร้ายจำเลย และที่ผู้เสียหายทำร้ายจำเลยที่ชั้นสองก็ไม่ใช่ภยันตรายที่ใกล้จะถึง แต่เป็นเหตุการณ์ที่ผ่านพ้นไปแล้ว จำเลยจึงอ้างว่าเป็นการป้องกันสิทธิของตนให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายไม่ได้ แต่การที่ผู้เสียหายทำร้ายจำเลยแล้ววิ่งขึ้นไปชั้นสาม จำเลยตามขึ้นไปแล้วใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายในเวลาต่อเนื่องกระชั้นชิดกับที่จำเลยยังมีโทสะอยู่ เป็นการกระทำเนื่องจากถูกผู้เสียหายข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม เป็นความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยบันดาลโทสะ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 288, 80, 33 ริบอาวุธปืน ซองกระสุนปืน ปลอกกระสุนปืน และหัวกระสุนปืนของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 288, 80 ประกอบด้วยมาตรา 69 ลงโทษจำคุก 3 ปี จำเลยให้การรับสารภาพชั้นจับกุมและทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตาม ป.อ. มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี (ตาม ป.อ. มาตรา 56) ริบของกลาง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 288, 80 จำคุก 10 ปี หลังเกิดเหตุจำเลยรอมอบตัวต่อเจ้าพนักงานตำรวจและให้การรับสารภาพในชั้นจับกุม ประกอบกับจำเลยมีคุณความดีมาก่อน นับเป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตาม ป.อ. มาตรา 78 คงจำคุก 5 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุที่โจทก์ฟ้อง จำเลยใช้อาวุธปืนของกลางยิงผู้เสียหายถูกบริเวณหน้าท้องด้านขวา กระสุนปืนทะลุลำไส้ไปออกสะโพกด้านขวา ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยใช้อาวุธปืนของกลางยิงผู้เสียหายโดยไม่มีเจตนาฆ่านั้น เห็นว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานพยายามฆ่า แต่การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ จำเลยมิได้อุทธรณ์ กลับแก้อุทธรณ์ของโจทก์และขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ดังนี้ ข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยใช้อาวุธปืนของกลางยิงผู้เสียหายโดยมีเจตนาฆ่าหรือไม่ จึงเป็นฎีกาในข้อที่จำเลยมิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาดังกล่าว ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ คงมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันตัวโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ตามพฤติการณ์บ่งชี้ให้เห็นว่าจำเลยตามผู้เสียหายขึ้นไปเพื่อจะทำร้ายผู้เสียหายและเป็นการผิดปกติวิสัยอย่างยิ่งที่ผู้เสียหายเห็นจำเลยถืออาวุธปืนอยู่ในมือแล้วผู้เสียหายยังกล้าจะเดินเข้าหาเพื่อจะทำร้ายจำเลยทั้งที่ตนไม่มีอาวุธ ยิ่งไปกว่านั้น ผู้เสียหายเบิกความยืนยันว่า เห็นอาวุธปืนตั้งแต่จำเลยชักออกมาด้วยมือขวาแล้ว โดยผู้เสียหายเห็นได้จากแสงไฟจากชั้นสองและชั้นสามส่องสว่างที่จำเลย และนางสาวจุฑาทิพย์เบิกความว่า ขณะเกิดเหตุที่ชั้นสามมีแต่แสงไฟจากหลอดไฟขนาดประมาณ 5 แรงเทียน ส่วนหลอดไฟนีออนไม่ได้เปิดเพิ่งจะเปิดหลังจากจำเลยยิงผู้เสียหายเพื่อให้เห็นว่าผู้เสียหายไม่เห็นจำเลยถืออาวุธปืนจึงเข้าหาจะทำร้ายจำเลยนั้น เห็นว่า ตามคำเบิกความของนางสาวจุฑาทิพย์ได้ความว่า เมื่อนางสาวจุฑาทิพย์ขึ้นไปถึงชั้นสามนางสาวจุฑาทิพย์เห็นจำเลยถืออาวุธปืน และเห็นนางสาวแววตาจับมือจำเลยในลักษณะอาวุธปืนชี้ขึ้นข้างบน ทั้งในชั้นสอบสวนนางสาวจุฑาทิพย์ให้การว่า ที่ชั้นสองและชั้นสามมีแสงไฟจากหลอดไฟนีออน ซึ่งการที่พนักงานสอบสวนถามนางสาวจุฑาทิพย์ถึงแสงสว่างในที่เกิดเหตุนั้น นางสาวจุฑาทิพย์ย่อมจะต้องเข้าใจได้ว่าพนักงานสอบสวนถามถึงแสงสว่างในขณะเกิดเหตุ หาใช่หลังเกิดเหตุดังที่นางสาวจุฑาทิพย์เบิกความไม่ จึงเห็นว่าเหตุที่นางสาวจุฑาทิพย์เบิกความเช่นนั้นเป็นการช่วยเหลือจำเลยซึ่งเป็นสามีนางสาวจุฑาทิพย์มากกว่า ใช่แต่เพียงเท่านั้น ในชั้นสอบสวนจำเลยให้การว่า เห็นผู้เสียหายควักอะไรไม่ทราบ จำเลยจึงยิงผู้เสียหาย ตามคำให้การของจำเลยในชั้นสอบสวนซึ่งแตกต่างไปจากคำเบิกความของจำเลยในชั้นพิจารณา จากข้อเท็จจริงฟังได้ว่าก่อนเกิดเหตุผู้เสียหายชกต่อยทำร้ายจำเลยที่ชั้นสองของตึกแถวแล้ววิ่งขึ้นไปที่ห้องพักผู้เสียหายที่ชั้นสาม จำเลยตามผู้เสียหายขึ้นไปถึงชั้นสาม ขณะนั้นผู้เสียหายยืนอยู่ทางเข้าห้องพักของนายนิรันดร์และห้องพักผู้เสียหายหันหน้าไปทางจำเลย จำเลยได้ใช้อาวุธปืนของกลางยิงผู้เสียหาย ดังนี้ จะเห็นได้ว่าแม้ผู้เสียหายจะเป็นฝ่ายก่อเหตุทำร้ายจำเลยก่อน แต่จำเลยจะอ้างว่าที่ใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายเป็นการป้องกันสิทธิของตนให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายไม่ได้ เพราะข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าผู้เสียหายจะเข้าทำร้ายจำเลยขณะจำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหาย ส่วนที่ผู้เสียหายทำร้ายจำเลยที่ชั้นสองและถีบจำเลยขณะตามผู้เสียหายขึ้นไปชั้นสามนั้น ไม่ใช่ภยันตรายที่ใกล้จะถึง แต่เป็นเหตุการณ์ที่ผ่านพ้นไปแล้ว อย่างไรก็ดี การที่ผู้เสียหายทำร้ายจำเลยแล้ววิ่งขึ้นไปชั้นสาม จำเลยตามขึ้นไปแล้วใช้อาวุธปืนของกลางยิงผู้เสียหายในเวลาต่อเนื่องกระชั้นชิดกับที่จำเลยยังมีโทสะอยู่ การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำเนื่องจากถูกผู้เสียหายข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม เป็นความผิดฐานพยายามฆ่าโดยบันดาลโทสะ หาใช่เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายไม่ สำหรับฎีกาข้ออื่นนอกจากนี้ แม้จะวินิจฉัยให้ก็ไม่อาจทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงจึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยบางส่วน…
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 288, 80 ประกอบมาตรา 72 ให้จำคุก 3 ปี คำให้การชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน ตลอดจนคำเบิกความของจำเลยในชั้นพิจารณาเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา นับเป็นเหตุบรรเทาโทษตาม ป.อ. มาตรา 78 ลดโทษให้จำเลยหนึ่งในสาม คงจำคุก 2 ปี โทษจำคุกรอการลงโทษไว้มีกำหนด 3 ปี ตาม ป.อ. มาตรา 56 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share