แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ในกรณีที่เจ้าของป้ายเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในป้าย มาตรา 14 วรรคสอง แห่ง พ.ร.บ.ภาษีป้าย พ.ศ. 2510 บังคับให้เจ้าของป้ายต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีป้ายต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ภายใน 15 วัน นับแต่วันเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความ เมื่อจำเลยแก้ไขข้อความในป้ายแล้วมิได้ยื่นแบบดังกล่าว พนักงานเจ้าหน้าที่ต้องประเมินภาษีป้ายเช่นเดียวกับกรณีปกติและแจ้งการประเมินเป็นหนังสือให้จำเลยทราบตาม พ.ร.บ.ป้าย พ.ศ. 2510 มาตรา 17 ประกอบด้วยมาตรา 29 แต่การประเมินในกรณีที่เจ้าของป้ายเดิมเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในป้ายเป็นเหตุให้ต้องเสียภาษีป้ายเพิ่มขึ้นอีกในปีเดียวกันนั้น พนักงานเจ้าหน้าที่ต้องดำเนินการด้วยความระมัดระวัง มีความชัดเจนในการดำเนินงาน นับแต่ตรวจสอบ คิดคำนวณภาษีและทำการประเมิน แม้จะกระทำเป็นการภายในก็ต้องทำเป็นลายลักษณ์อักษรเสนอตามลำดับขั้นตอนจนถึงขั้นแจ้งการประเมินให้จำเลยทราบ เพราะหากเจ้าของป้ายเห็นว่าการประเมินไม่ถูกต้อง ก็ชอบที่จะขอตรวจดูเอกสารหลักฐานดังกล่าวได้
โจทก์เป็นหน่วยงานของรัฐมีอำนาจหน้าที่จัดเก็บภาษีป้ายตามกฎหมาย แต่ขั้นตอนการจัดเก็บภาษีป้ายของโจทก์ที่กระทำต่อจำเลยในกรณีที่ตรวจพบว่าจำเลยเปลี่ยนแปลงแก้ไขป้ายเดิมซึ่งจำเลยได้ยื่นแบบแสดงรายการไว้แล้ว อันจะเป็นเหตุให้จำเลยต้องเสียภาษีป้ายอีกในป้ายเดียวกัน กลับไม่มีรายละเอียดแสดงขั้นตอนนับแต่ บ. ตรวจสอบพบว่าจำเลยได้เปลี่ยนแปลงแก้ไขป้ายเดิมว่าเหตุใดจึงตรวจพบไม่มีรายงานต่อผู้บังคับบัญชาหรือขออนุมัติไปตรวจสอบและเมื่อตรวจสอบแล้วก็หามีรายงานเสนอต่อผู้บังคับบัญชาเกี่ยวกับผลการตรวจสอบดังกล่าวไม่ เป็นการผิดปกติวิสัยของการปฏิบัติหน้าที่ราชการ เมื่อพยานหลักฐานโจทก์ที่นำมาสืบไม่มีน้ำหนักให้เชื่อว่าพนักงานเจ้าหน้าที่ของโจทก์ได้ประเมินภาษีป้ายของจำเลยสำหรับกรณีที่จำเลยได้เปลี่ยนแปลงแก้ไขป้ายเดิม พนักงานเจ้าหน้าที่ของโจทก์จึงไม่มีอำนาจที่จะออกหนังสือแจ้งการประเมินอันเป็นการข้ามขั้นตอนของบทบัญญัติแห่งกฎหมายได้ การที่พนักงานเจ้าหน้าที่ของโจทก์ส่งหนังสือแจ้งการประเมิน (ภ.ป. 3) ไปยังจำเลยจึงเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ของโจทก์มิได้มีการประเมินให้จำเลยเสียภาษีป้าย จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดเสียภาษีป้าย แม้ว่าจำเลยจะขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา จะถือว่าจำเลยยอมรับข้อเท็จจริงตามที่โจทก์กล่าวอ้างไว้ในคำฟ้องหาได้ไม่ เพราะขัดต่อ ป.วิ.พ. มาตรา 205 ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 17 การที่ศาลภาษีอากรกลางพิจารณาจากพยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมานั้นแล้ววินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าพนักงานเจ้าหน้าที่ของโจทก์ได้ทำการประเมินภาษีป้ายและแจ้งการประเมินภาษีป้ายสำหรับกรณีที่จำเลยเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในป้ายเดิมนั้นจึงชอบแล้ว และเมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ของโจทก์มิได้ทำการประเมินภาษีป้ายสำหรับกรณีดังกล่าว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยรับผิดชำระภาษีป้ายส่วนที่จำเลยได้เปลี่ยนแปลง
แก้ไขข้อความในป้ายเดิมนั้นได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด และเป็นเจ้าของป้ายโฆษณาหมู่บ้านวรารมย์ ตั้งอยู่หมู่ ๒ ถนนเพชรเกษม แขวงหนองค้างพลู เขตตลิ่งชัน (ที่ถูกเขตหนองแขม) กรุงเทพมหานคร มีข้อความเป็นอักษรไทยปนเครื่องหมาย ขนาดกว้าง ๑,๐๐๐ เซนติเมตร ยาว ๒,๕๐๐ เซนติเมตรทั้งสองด้านของป้าย คิดเป็นเนื้อที่ป้าย ๕,๐๐๐,๐๐๐ ตารางเซนติเมตร เมื่อวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๔๐ จำเลยยื่นแบบแสดงรายการภาษีป้ายประจำปี ๒๕๔๐ (ภ.ป. ๑) ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่สำนักงานเขตหนองแขมเพื่อเสียภาษี พนักงานเจ้าหน้าที่ประเมินภาษีป้ายเป็นเงินจำนวน ๒๐๐,๐๐๐ บาทและแจ้งการประเมินแก่จำเลยเมื่อวันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๔๐ ตามหนังสือแจ้งการประเมินที่ กท ๙๐๒๒/๕๔๓ ลงวันที่ ๒ เมษายน ๒๕๔๐ ต่อมาเดือนพฤษภาคม ๒๕๔๐ จำเลยได้เปลี่ยนแปลงแก้ไขป้ายให้มีข้อความภาษาอังกฤษปนด้วยโดยมีขนาดคงเดิม ต้องเสียภาษีป้ายเพิ่มขึ้นตามบัญชีอัตราภาษีป้ายเป็นห้าร้อยตารางเซนติเมตรต่อ ๔๐ บาท แต่จำเลยไม่ได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีป้ายต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ภายใน ๑๕ วัน นับแต่วันที่แสดงป้ายที่แก้ไขใหม่แทนป้ายเดิม พนักงานเจ้าหน้าที่จึงแจ้งการประเมินเพิ่มเติมจำนวน ๒๐๐,๐๐๐ บาท แก่จำเลย ตามหนังสือแจ้งการประเมินเลขที่ กท ๙๐๒๒/๑๐๘๖ ลงวันที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๔๐ จำเลยได้รับเมื่อวันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๔๐ แต่จำเลยไม่ชำระภาษีป้ายแก่โจทก์ภายใน ๑๕ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งการประเมิน ต้องเสียเงินเพิ่มตามมาตรา ๒๕ แห่งพระราชบัญญัติภาษีป้าย พ.ศ. ๒๕๑๐ จำเลยไม่ยื่นแบบแสดงรายการภาษีป้ายที่จำเลยเปลี่ยนแปลงแก้ไขจึงต้องเสียเงินเพิ่มร้อยละ ๑๐ ของภาษีป้ายที่พนักงานเจ้าหน้าที่ประเมินรวมเป็นภาษีป้ายที่จำเลยต้องชำระถึงวันฟ้องจำนวน ๖๐๘,๐๐๐ บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน ๖๐๘,๐๐๐ บาท พร้อมเงินเพิ่มอัตราร้อยละ ๒ ต่อเดือนของเงินค่าภาษี ๔๐๐,๐๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้จำเลยชำระค่าภาษีป้ายจำนวน ๒๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมเงินเพิ่มอัตราร้อยละ ๒ ต่อเดือนของจำนวนเงินที่ต้องเสียภาษีป้าย เศษของเดือนให้นับเป็น ๑ เดือน นับแต่วันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๔๐ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ แต่เงินเพิ่มคำนวณถึงวันฟ้อง ให้จำเลยรับผิดไม่เกิน ๑๐๘,๐๐๐ บาท ตามที่โจทก์ขอ คำขออื่นให้ยก
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์เพียงประการเดียวว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องให้จำเลยชำระภาษีป้ายส่วนที่จำเลยได้เปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในป้ายเดิมนั้นได้หรือไม่ เห็นว่า ตามคำเบิกความของนางเบญจะซึ่งเป็นพยานโจทก์เพียงปากเดียว คงได้ความเพียงว่าจำเลยได้เปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในป้ายเดิม ทั้งนี้ เมื่อโจทก์เป็นหน่วยงานของรัฐมีอำนาจหน้าที่จัดเก็บภาษีป้ายตามกฎหมาย แต่ขั้นตอนการจัดเก็บภาษีป้ายของโจทก์ที่กระทำต่อจำเลยในกรณีที่ตรวจพบว่าจำเลยเปลี่ยนแปลงแก้ไขป้ายเดิมซึ่งจำเลยได้ยื่นแบบแสดงรายการไว้แล้ว อันจะเป็นเหตุให้จำเลยต้องเสียภาษีป้ายอีกในป้ายเดียวกัน กลับไม่มีรายละเอียดแสดงขั้นตอนนับแต่นางเบญจะตรวจสอบพบว่าจำเลยได้เปลี่ยนแปลงแก้ไขป้ายเดิมว่าเหตุใดนางเบญจะจึงตรวจพบ ไม่มีรายงานต่อผู้บังคับบัญชาหรือขออนุมัติไปตรวจสอบและเมื่อตรวจสอบแล้วรวมทั้งถ่ายรูปไว้ด้วยก็หามีรายงานเสนอต่อผู้บังคับบัญชาเกี่ยวกับผลการตรวจสอบดังกล่าวนี้ไม่ อันผิดปกติวิสัยของการปฏิบัติหน้าที่ราชการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการจัดเก็บภาษีป้ายในกรณีที่ผู้เสียภาษีมิได้ยื่นแบบแสดงรายการต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ในการเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความเช่นนี้ ซึ่งตามบทบัญญัติมาตรา ๑๔ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติภาษีป้าย พ.ศ. ๒๕๑๐ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติป้าย (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๔ มาตรา ๙ บังคับให้เจ้าของป้ายต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีป้ายต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ภายใน ๑๕ วัน นับแต่วันเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความ แต่จำเลยมิได้ยื่นแบบดังกล่าว พนักงานเจ้าหน้าที่ต้องประเมินภาษีป้ายเช่นเดียวกับกรณีปกติและแจ้งการประเมินเป็นหนังสือให้เจ้าของป้ายทราบตามพระราชบัญญัติป้าย พ.ศ. ๒๕๑๐ มาตรา ๑๗ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติภาษีป้าย (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๔ มาตรา ๑๐ ประกอบด้วยมาตรา ๒๙ กรณีการแจ้ง การประเมินนี้ นางเบญจะเบิกความว่า ได้ทำรายงานการประเมินเสนอต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ พนักงานเจ้าหน้าที่เห็นชอบและแจ้งการประเมินแก่จำเลยแล้ว แต่ในการสืบพยานของโจทก์ โจทก์กลับไม่นำรายงานของนางเบญจะที่เสนอต่อพนักงานเจ้าหน้าที่มาสนับสนุนคำเบิกความของนางเบญจะ ศาลภาษีอากรกลางจึงวินิจฉัยว่า ไม่มีการประเมินเรียกเก็บภาษีป้ายสำหรับป้ายที่เปลี่ยนแปลงแก้ไขใหม่ โจทก์กลับอุทธรณ์โต้แย้งว่า ในการประเมินเรียกเก็บภาษีป้ายมีวิธีการประเมินเรียกเก็บ ๒ วิธี คือการประเมินเรียกเก็บภาษีป้ายกรณีที่ผู้เสียภาษีป้ายยื่นแบบแสดงรายการภาษีป้ายและกรณีที่ผู้เสียภาษีป้ายไม่ยื่นแบบ ในกรณีที่ผู้เสียภาษีป้ายยื่นแบบแสดงรายการภาษีป้ายจะมีรายละเอียดของการคิดคำนวณและการอนุมัติของพนักงานเจ้าหน้าที่ตามแบบ แต่กรณีผู้เสียภาษีไม่ยื่นแบบแสดงรายการภาษีป้ายเช่นกรณีของจำเลยนั้น รายละเอียดของการคิดคำนวณภาษีและการอนุมัติของพนักงานเจ้าหน้าที่จะดำเนินการภายใน มิได้ทำหลักฐานอย่างเป็นทางการ เพราะการคิดคำนวณภาษีป้ายจะต้องคิดคำนวณตามอัตราที่กำหนด ส่วนการอนุมัติของพนักงานเจ้าหน้าที่ก็ดำเนินการเป็นการภายใน มิได้ทำหลักฐานไว้เป็นทางการเช่นกัน เพราะหลังจากอนุมัติแล้วจะต้องส่งแบบแจ้งการประเมินให้ผู้เสียภาษีทราบ เห็นว่า กรณีที่เจ้าของป้ายยื่นแบบแสดงรายการภาษีป้าย (ภ.ป. ๑) แสดงว่าเจ้าของป้ายยินยอมที่จะเสียภาษีป้ายตามกฎหมายและเป็นผู้กรอกแบบด้วยตนเองและทราบรายละเอียดของแบบได้ดีว่ามีทั้งรายการประเภทป้าย ขนาดป้าย เนื้อที่ป้าย จำนวนป้าย ข้อความหรือภาพหรือเครื่องหมายที่ปรากฏในป้าย และสถานที่ติดตั้งป้าย ซึ่งเจ้าของป้ายจะต้องระบุไว้ในแบบ รายละเอียดส่วนนี้อยู่หน้าแรกของแบบแสดงรายการภาษีป้าย (ภ.ป. ๑) ส่วนหน้าหลังมีรายละเอียดแสดงถึงขั้นตอนการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่ ประกอบด้วยบันทึกการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ รายการประเมินภาษีป้ายของพนักงานเจ้าหน้าที่ คำขอชำระภาษีของผู้ขอชำระภาษีป้าย รายการรับชำระภาษีป้ายและช่องบันทึกเพิ่มเติมของเจ้าหน้าที่ ดังนั้น ในขณะที่เจ้าของป้ายยื่นแบบแสดงรายการภาษีป้าย (ภ.ป. ๑) อาจทราบเลยว่าตนต้องเสียภาษีป้ายเท่าใด หรืออาจทราบในภายหลังเนื่องจากเจ้าหน้าที่จำต้องไปตรวจสอบว่าป้ายตามที่ระบุไว้ในแบบแสดงรายการภาษีป้าย (ภ.ป. ๑) เป็นป้ายประเภทใด มีขนาดกว้างยาวเท่าใดและพื้นที่กี่ตารางเซนติเมตร มีข้อความ ภาพหรือเครื่องหมายอย่างไร เพราะมีอัตราภาษีป้ายแตกต่างกันตามอัตราที่กำหนดในกฎกระทรวง ออกตามความในพระราชบัญญัติภาษีป้าย พ.ศ. ๒๕๑๐ มาตรา ๕ ซึ่งจะต้องมีบันทึกรายละเอียดการตรวจสอบของ เจ้าหน้าที่และรายงานการปฏิบัติงานต่อพนักงานเจ้าหน้าที่และผู้บังคับบัญชาเพื่อประเมินภาษีป้าย และแจ้งการประเมินให้เจ้าของป้ายทราบ ตามพระราชบัญญัติภาษีป้าย พ.ศ. ๒๕๑๐ มาตรา ๑๗ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติภาษีป้าย (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๔ มาตรา ๑๐ แต่กรณีของจำเลย ปรากฏว่าจำเลยทราบการประเมินภาษีป้ายในวันที่ยื่นแบบแสดงรายการภาษีป้าย (ภ.ป. ๑) คือวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๔๐ แล้ว โดยได้ลงลายมือชื่อไว้ในช่องคำขอชำระภาษี และแม้ต่อมาพนักงานเจ้าหน้าที่ยังได้มีหนังสือแจ้งการประเมิน (ภ.ป. ๓) ให้จำเลยทราบอีก อันเป็นไปตามมาตรา ๑๗ แห่งบทบัญญัติดังกล่าวที่บังคับว่า เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ประเมินภาษีป้ายตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดแล้ว ต้องแจ้งการประเมินเป็นหนังสือไปยังเจ้าของป้าย ซึ่งก็เห็นได้ว่าแม้แต่กรณีที่เจ้าของป้ายยื่นแบบแสดงรายการภาษีป้าย (ภ.ป. ๑) กฎหมายยังได้กำหนดขั้นตอนไว้ว่าพนักงานเจ้าหน้าที่จะต้องดำเนินการอย่างไรเพื่อให้ผู้เสียภาษีทราบชัดแจ้งว่าตนจะต้องเสียภาษีจำนวนเท่าใด แต่กรณีที่เจ้าของป้ายเดิมเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในป้าย อันเป็นเหตุให้ตนต้องเสียภาษีป้ายเพิ่มขึ้นอีกในปีเดียวกันนั้น ถือว่าเป็นภาระแก่เจ้าของป้าย ซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่จะต้องดำเนินการด้วยความระมัดระวังมีความชัดเจนในการปฏิบัติงาน นับแต่ตรวจสอบคิดคำนวณภาษีป้ายและทำการประเมิน แม้ว่าจะกระทำเป็นการภายใน ก็ต้องได้กระทำเป็นลายลักษณ์อักษรเสนอตามลำดับขั้นตอนจนถึงขั้นสุดท้ายคือแจ้งการประเมินให้จำเลยทราบ เพราะหากจำเลยเห็นว่าการประเมินไม่ถูกต้องก็ชอบที่จะขอตรวจดูเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับการประเมินให้จำเลยเสียภาษีป้ายได้ ข้อที่โจทก์อ้างว่ากรณีเช่นนี้มักจะมิได้ทำหลักฐานอย่างเป็นทางการ ส่วนการอนุมัติของพนักงานเจ้าหน้าที่ก็ดำเนินการภายใน มิได้ทำหลักฐานไว้เป็นทางการเช่นกัน นับว่าไม่สอดคล้องกับระบบการปฏิบัติหน้าที่ราชการทั่วไป ไม่มีน้ำหนักน่าเชื่อถือว่าเป็นเช่นนั้น และขัดแย้งกับคำเบิกความของนางเบญจะพยานโจทก์ที่เบิกความว่า ได้ทำรายงานการประเมินเสนอต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ พนักงานเจ้าหน้าที่เห็นชอบด้วย แต่ในการสืบพยานของโจทก์ก็หามีเอกสารการรายงานและความเห็นชอบของพนักงานเจ้าหน้าที่มาแสดงให้เห็นแต่อย่างใดไม่ และแม้แต่พนักงานเจ้าหน้าที่ผู้ให้ความเห็นชอบและแจ้งการประเมิน โจทก์ก็มิได้นำมาเบิกความสนับสนุนกรณีที่โจทก์อ้างว่ามีการประเมินในกรณีนี้ ซึ่งถือว่ามีความจำเป็นมากกว่าในกรณีแรก ซึ่งจำเลยทราบการประเมินของพนักงานเจ้าหน้าที่อยู่แล้วในวันยื่นแบบแสดงรายการภาษีป้าย (ภ.ป. ๑) พยานหลักฐานโจทก์ที่นำมาสืบจึงไม่มีน้ำหนักให้เชื่อว่า พนักงานเจ้าหน้าที่ของโจทก์ได้ประเมินภาษีป้ายของจำเลยสำหรับกรณีที่จำเลยได้เปลี่ยนแปลงแก้ไขป้ายเดิม และเมื่อไม่มีการประเมิน พนักงานเจ้าหน้าที่ของโจทก์ย่อมไม่มีอำนาจที่จะออกหนังสือแจ้งการประเมินอันเป็นการข้ามขั้นตอนของบทบัญญัติแห่งกฎหมายได้ ดังนั้น การที่พนักงานเจ้าหน้าที่ของโจทก์ส่งหนังสือ แจ้งการประเมิน (ภ.ป. ๓) ไปยังจำเลยจึงเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย อีกทั้งเมื่อพิจารณาหนังสือแจ้งการประเมิน (ภ.ป. ๓) เอกสารหมาย จ. ๑ แผ่นที่ ๒ ซึ่งโจทก์อ้างว่าเป็นหนังสือแจ้งการประเมินสำหรับกรณีที่จำเลยเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในป้ายเดิม ไม่ปรากฏรายละเอียดว่าพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ประเมินให้จำเลยเสียภาษีเพิ่มขึ้นนอกเหนือจากเดิมเท่าใด เพราะเหตุใด ซึ่งย่อมต้องแตกต่างจากการประเมินภาษีป้ายของจำเลยในกรณีแรกที่จำเลยยื่นแบบแสดงรายการภาษีป้าย (ภ.ป. ๑) ดังที่บัญญัติไว้มาตรา ๑๔ และ ๑๕ แห่งพระราชบัญญัติภาษีป้าย พ.ศ. ๒๕๑๐ ดังกล่าว แต่กลับปรากฏว่าหนังสือแจ้งการประเมิน (ภ.ป. ๓) ฉบับนี้ มีข้อความเหมือนกันกับหนังสือแจ้งการประเมิน (ภ.ป. ๓) ตามเอกสารหมาย จ. ๑ แผ่นที่ ๔ ซึ่งเป็นฉบับที่พนักงานเจ้าหน้าที่แจ้งการประเมินแก่จำเลยกรณีที่จำเลยยื่นแบบแสดงรายการภาษีป้าย (ภ.ป. ๑) ตามเอกสารหมาย จ. ๑ แผ่นที่ ๑ คงแตกต่างเฉพาะเลขหนังสือแจ้งวันที่ เดือนปี ที่ออกหนังสือ และช่องที่แจ้งจำเลยมีระบุข้อความแตกต่างกันเล็กน้อยอันเป็นข้อสนับสนุนอยู่ในตัวว่าไม่มีการประเมินสำหรับกรณีที่จำเลยเปลี่ยนแปลงแก้ไขป้ายเดิมนั้นให้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้น อุทธรณ์ของโจทก์ในเรื่องนี้จึงไม่อาจรับฟังได้ และที่โจทก์อุทธรณ์ว่า จำเลยมิได้อุทธรณ์โต้แย้งการประเมินนั้น เห็นว่า เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ของโจทก์มิได้มีการประเมินให้จำเลยเสียภาษีป้าย จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดเสียภาษีป้าย แม้ว่าคดีนี้จำเลยจะขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาจะถือว่าจำเลยยอมรับข้อเท็จจริงตามที่โจทก์กล่าวอ้างไว้ในคำฟ้องหาได้ไม่ เพราะขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๐๕ ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. ๒๕๒๘ มาตรา ๑๗ กล่าวคือศาลจะวินิจฉัยชี้ขาดให้โจทก์ชนะคดีได้ก็ต่อเมื่อเห็นว่าข้ออ้างของโจทก์มีมูลและไม่ขัดต่อกฎหมาย โดยศาลอาจสืบพยานตามที่เห็นว่าจำเป็นอันเกี่ยวกับข้ออ้างของโจทก์ก็ได้ ดังนั้น การที่ศาลภาษีอากรกลางพิจารณาจากพยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมานั้นแล้ววินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าพนักงานเจ้าหน้าที่ของโจทก์ได้ทำการประเมินภาษีป้ายและแจ้งการประเมินภาษีป้ายสำหรับกรณีที่จำเลยเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในป้ายเดิมนั้นจึงชอบแล้ว และเมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ของโจทก์มิได้ทำการประเมินภาษีป้ายสำหรับกรณีดังกล่าว
แม้ต่อมาจะมีการแจ้งเป็นหนังสือให้จำเลยชำระภาษีป้ายเพิ่มและจำเลยได้รับแล้วก็ตาม ก็หาถือว่าเป็นการประเมินและแจ้งการประเมินให้จำเลยทราบตามกฎหมายแต่อย่างใดไม่ การฟ้องของโจทก์ในกรณีนี้จึงเป็นการไม่ปฏิบัติตามขึ้นตอนของพระราชบัญญัติภาษีป้าย พ.ศ. ๒๕๑๐ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติภาษีป้าย (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๔ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยรับผิดชำระภาษีป้ายส่วนที่จำเลยได้เปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในป้ายเดิมนั้นได้
พิพากษายืน.