แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากบ้านอันเป็นอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์ อันมีค่าเช่าเดือนละห้าร้อยบาท จำเลยให้การว่าบ้านพิพาทไม่ใช่ของโจทก์ แต่เป็นของนางล้อมนางล้อมมอบให้จำเลยดูแลแทน โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง จึงเป็นคดีฟ้องขับไล่บุคคลในกรณีอื่นออกจากอสังหาริมทรัพย์ซึ่งในขณะยื่นฟ้องอาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละห้าพันบาท และจำเลยมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์แม้ต่อมาศาลชั้นต้นให้เรียกนางล้อมเข้ามาเป็นจำเลยร่วมตามคำขอของโจทก์ แต่เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาขับไล่จำเลยและบริวารออกจากบ้านพิพาทศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยร่วมไม่ฎีกา ดังนี้ จำเลยจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ย่อยาว
คดีนี้โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากบ้านเลขที่ ๓๖/๒๑ ของโจทก์โดยอ้างว่าโจทก์ให้นางล้อมเข้าอยู่อาศัยและครอบครองแทนโจทก์ ต่อมานางล้อมได้ไปแจ้งต่อเจ้าหน้าที่ว่าเป็นบ้านของจำเลยและโอนชื่อจำเลยเข้ามาในทะเบียนบ้านดังกล่าว ต่อมาโจทก์จะเข้าอยู่ในบ้านของโจทก์ จึงบอกกล่าวให้จำเลยออกไป จำเลยไม่ยอมออก หากโจทก์ให้ผู้อื่นเช่าก็จะได้ค่าเช่าเดือนละ ๕๐๐ บาท ขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากบ้านของโจทก์กับให้ใช้ค่าเสียหายเดือนละ ๕๐๐ บาท
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์บ้านพิพาท เพราะโจทก์ได้ขายให้แก่นางล้อมไปแล้ว นางล้อมได้เข้าครอบครองโดยสงบเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเกินกว่า ๑๐ ปีแล้ว นางล้อมได้ไปประกอบอาชีพที่กรุงเทพมหานคร และได้มอบบ้านพิพาทให้จำเลยเป็นผู้ดูแลแทนโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
โจทก์ขอให้ศาลชั้นต้นหมายเรียกนางล้อมเข้ามาเป็นจำเลยร่วมศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากบ้านพิพาทพร้อมกับคืนบ้านพิพาทให้แก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อยและห้ามเกี่ยวข้อง กับให้จำเลยแจ้งถอนชื่อตนออกจากทะเบียนบ้านดังกล่าวด้วยฯ
จำเลยและจำเลยร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากบ้านอันเป็นอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์ อันมีค่าเช่าเดือนละ ๕๐๐ บาท จำเลยให้การว่าบ้านพิพาทไม่ใช่ของโจทก์แต่เป็นของนางล้อม นางล้อมมอบอำนาจให้จำเลยเป็นผู้ดูแลแทน โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง จึงเป็นคดีฟ้องขับไล่บุคคลในกรณีอื่นออกจากอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งในขณะยื่นฟ้องอาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละห้าพันบาท และจำเลยมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์แม้ต่อมาศาลชั้นต้นเรียกนางล้อมเข้ามาเป็นจำเลยร่วมตามคำขอของโจทก์แต่ศาลชั้นต้นพิพากษาขับไล่จำเลยและบริวารออกจากบ้านพิพาทศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยร่วมไม่ฎีกาดังนี้ จำเลยจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๘ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกฎีกาของจำเลย