แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อมีข้อโต้แย้งสิทธิของสมาคมและมูลนิธิ ผู้มีอำนาจฟ้องคดีแทนคือผู้จัดการสมาคมและมูลนิธิซึ่งเป็นผู้มีอำนาจกระทำการแทนนิติบุคคล กรรมการสมาคมและมูลนิธิไม่มีอำนาจกระทำการแทนนิติบุคคล ย่อมไม่มีอำนาจฟ้องคดี
การฟ้องคดีแพ่ง มิใช่เป็นการทำนิติกรรม เพราะมิได้มุ่งโดยตรงต่อการผูกนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างบุคคลเพื่อจะก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวนหรือระงับซึ่งสิทธิ ตามความหมายของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 112 หากแต่เป็นกรณีที่ฟ้องขอให้บังคับตามสิทธิของตนที่มีอยู่แล้วและถูกโต้แย้งสิทธิตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 ดังนั้น แม้ตราสารของมูลนิธิจะให้อำนาจโจทก์ซึ่งเป็นกรรมการของมูลนิธิ ทำนิติกรรมของมูลนิธิได้ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า สมาคมศาสนาสัมพันธ์และมูลนิธิชินนะปูโตอนุสรณ์มีโจทก์ที่ ๑ เป็นอุปนายกคนที่ ๑ ของสมาคมและรองประธานมูลนิธิ โจทก์ที่ ๒ เป็นอุปนายกคนที่ ๒ ของสมาคม โจทก์ที่ ๓ เป็นเลขาธิการสมาคมและเป็นเลขาธิการกิติศักดิ์ของมูลนิธิ โจทก์ที่ ๔ เป็นบรรณารักษ์ของสมาคม โจทก์ที่ ๕ และที่ ๖ เป็นปฏิคมของสมาคม โจทก์ที่ ๗ เป็นเหรัญญิกกิติศักดิ์ของมูลนิธิโจทก์ที่ ๘ เป็นรองเหรัญญิกกิติมศักดิ์ของมูลนิธิ โจทก์ที่ ๙ เป็นปฏิคมของมูลนิธิ โจทก์ที่ ๑ กับพวกได้รับอนุญาตให้ใช้ที่ดินถ้าเขาพระ ตำบลดอนทราย อำเภอปากท่อ จังหวัดราชบุรี ทำสำนักวิปัสสนาและทำเกษตรสาธิต ซึ่งต่อมาสมาคมและมูลนิธิดัวกล่าวได้ย้ายสำนักงานใหญ่มาอยู่ที่ถ้ำเขาพระด้วย เมื่อวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๒๔ จำเลยที่ ๔ ซึ่งเป็นเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ จำเลยที่ ๑ ได้มีคำสั่งเพิกถอนใบอนุญาตให้จัดตั้งสมาคมและมูลนิธิดังกล่าว เป็นเหตุให้สมาคมและมูลนิธิดังกล่าวไม่สามารถดำเนินการตามความประสงค์ได้ จำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๔ กระทำไปโดยไม่มีอำนาจตามกฎหมาย โจทก์ได้อุทธรณ์คำสั่งของจำเลยที่ ๑ ต่อจำเลยที่ ๕ ซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการจำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๕ กลับมีคำสั่งยกอุทธรณ์ของโจทก์โดยไม่ได้ทำคำวินิจฉัยเป็นการไม่ชอบ กรมศิลปากร จำเลยที่ ๓ ซึ่งเป็นผู้อนุญาตให้โจทก์ใช้ที่ดินบริเวณเขาถ้ำพระโดยจำเลยที่ ๖ ได้มีหนังสือถึงโจทก์ที่ ๑ กับพวกเพิกถอนการใช้ที่ดินและจำเลยที่ ๓ ยังแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจว่ากรรมการบริหารของสมาคมและมูลนิธิบุกรุกเข้าถ้าพระโบราณสถานซึ่งจำเลยที่ ๓ เป็นผู้อนุญาตให้ใช้ได้ การกระทำของจำเลยที่ ๓ จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคบจำเลยให้ดำเนินการให้สมาคมและมูลนิธิกลับคืนสู่สภาพเดิม และดำเนินการให้ใส่ชื่อสมาคมในทะเบียนสมาคมจังหวัดราชบุรี ถอนการยึดทรัพย์สินของสมาคมและมูลนิธิ อนุญาตให้โจทก์ที่ ๑ กับพวกใช้ที่ดินเขาถ้ำพระได้ต่อไป และชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์๑,๐๐๐,๐๐๐ บาทพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยทั้งแปดให้การว่า โจทก์ทั้งเก้าไม่มีอำนาจฟ้องเพราะมิใช่ผู้มีอำนาจกระทำการแทนสมาคมและมูลนิธิ ฟ้องเกี่ยวกับค่าเสียหายเคลือบคลุมโจทก์ทั้งเก้าไม่ได้รับความเสียหาย จำเลยปฏิบัติหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมาย สมาคมและมูลนิธิปล่อยให้นายสุชาติ โกศลกิติวงศ์ ผู้จัดการสมาคมและมูลนิธิกระทำการอันเสื่อมเสียวัฒนธรรมแห่งชาติ ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ จึงได้เพิกถอนใบอนุญาตจัดตั้งสมาคมและมูลนิธิเสีย และเพิกถอนการใช้ที่ดินบริเวณถ้ำเขาพระด้วย จำเลยปฏิบัติหน้าที่โดยชอบแล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งเก้าอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ทั้งเก้าฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า ข้อที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์ทั้งเก้ามีอำนาจฟ้องจำเลยเพราะเป็นผู้มีส่วนได้เสียนั้น เห็นว่าการกระทำของจำเลยตามฟ้องของโจทก์เป็นเรื่องโต้แย้งสิทธิของสมาคมและมูลนิธิซึ่งมีสภาพเป็นนิติบุคคลต่างหากจากตัวโจทก์ ผู้มีส่วนได้เสียในเรื่องนี้ก็คือนิติบุคคลที่ถูกโต้แย้งสิทธิเท่านั้นเมื่อนิติบุคคลดังกล่าวมีผู้จัดการสมาคมและมูลนิธิเป็นผู้มีอำนาจกระทำการแทนอยู่คือนายสุชาติ โกศลกิติวงศ์ ผู้จัดการสมาคมและมูลนิธิดังกล่าว โจทก์ซึ่งเป็นเพียงกรรมการนิติบุคคลแต่ไม่มีอำนาจกระทำการแทน ย่อมไม่มีอำนาจฟ้องคดี ข้ออ้างของโจทก์ที่ว่าโจทก์ที่ ๑ ที่ ๓ ฟ้องคดีแทนมูลนิธิในฐานะรองประธานกรรมการและเลขาธิการ ตามอำนาจในตราสารมูลนิธิซึ่งให้อำนาจทำนิติกรรมของมูลนิธิและการฟ้องคดีก็เป็นการทำนิติกรรมอย่างหนึ่งนั้น เห็นว่า การฟ้องคดีมิใช่เป็นการทำนิติกรรม เพราะมิได้มุ่งโดยตรงต่อการผูกนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างบุคคล เพื่อจะก่อเปลี่ยนแปลง โอน สงวนหรือระงับซึ่งสิทธิตามความหมายของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๑๒ หากแต่เป็นกรณีที่ฟ้องขอให้ศาลบังคับตามสิทธิของตนที่มีอยู่แล้วและถูกโต้แย้งสิทธิตามประมวลกฎหมายวิธิพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๕๕
พิพากษายืน