คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 130/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

คดีราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทย่อมต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคแรก เมื่อศาลอุทธรณ์ฟังว่าผู้คัดค้านซื้อที่พิพาทมาโดยเสียค่าตอบแทน โดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริต การที่ผู้ร้องฎีกาว่า ผู้คัดค้านรับโอนที่พิพาทมาโดยไม่เสียค่าตอบแทน และไม่สุจริต จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกา ที่ผู้ร้องฎีกาว่า ผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ที่พิพาทโดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 โดยที่ผู้ร้องกล่าวอ้างว่า ผู้คัดค้านซื้อที่ดินมาโดยรู้อยู่ว่าผู้ร้องครอบครองที่พิพาทอยู่ อันเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงเป็นเบื้องต้นเพื่อนำไปสู่ข้อกฎหมายจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาเช่นเดียวกัน

ย่อยาว

ผู้ร้องยื่นคำร้องขอว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 43 ตำบลท่าตูมอำเภอท่าตูม จังหวัดสุรินทร์ เนื้อที่ 2 งาน 92 ตารางวา มีชื่อนางสาคร นพรัตน์ เป็นเจ้าของเดิมเป็นของนายเพ็งสัง บิดาของผู้ร้อง และได้ยกให้กับผู้ร้อง ผู้ร้องได้เข้าทำประโยชน์ปลูกบ้านพักอาศัยและทำการค้าโดยสงบเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปีแล้ว ผู้ร้องจึงได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองขอศาลไต่สวนและมีคำสั่งว่าผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวโดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า ผู้คัดค้านมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินตามคำร้อง โดยซื้อมาจากนางสาคร ตั้งแต่ปี 2527 ได้จดทะเบียนและเสียค่าตอบแทน ขณะผู้คัดค้านซื้อที่ดินมายังเป็นที่ดินว่างเปล่าไม่มีสิ่งปลูกสร้าง แม้จะฟังว่าผู้ร้องครอบครองที่ดินดังกล่าวเป็นเวลานานเกินกว่า 10 ปี ก็ใช้ยันผู้คัดค้านซึ่งเป็นบุคคลภายนอกที่ได้กรรมสิทธิ์ โดยจดทะเบียนสุจริตและเสียค่าตอบแทนไม่ได้ ขอให้ยกคำร้องขอ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วสั่งยกคำร้องขอ
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่ผู้ร้องฎีกาว่าผู้คัดค้านรับโอนที่พิพาทมาโดยไม่เสียค่าตอบแทนและไม่สุจริตนั้น เห็นว่า คดีนี้ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคแรก คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ฟังข้อเท็จจริงว่าผู้คัดค้านซื้อที่พิพาทมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต และได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริต ดังนี้ที่ผู้ร้องฎีกาโต้เถียงมาดังกล่าวว่า ผู้คัดค้านรับโอนที่พิพาทมาโดยไม่เสียค่าตอบแทนและโดยไม่สุจริต จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกา ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ส่วนที่ผู้ร้องฎีกาว่า ผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ที่พิพาทโดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ในฎีกาข้อที่ 2.2 นั้น ผู้ร้องกล่าวอ้างในฎีกาข้อนี้ในเบื้องต้นว่าผู้คัดค้านซื้อที่ดินมาโดยรู้อยู่ว่าผู้ร้องครอบครองที่พิพาทอยู่อันเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงเป็นเบื้องต้นเพื่อนำไปสู่ข้อกฎหมายเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามบทกฎหมายข้างต้นศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย”
พิพากษายกฎีกาผู้ร้อง

Share