แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ในคดีก่อน ผู้ร้องทั้งสี่ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอให้ผู้คัดค้านดำเนินการโอนที่ดินและบ้านพิพาทให้แก่ผู้ร้องทั้งสี่ตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน และสัญญาว่าจ้างปลูกสร้างบ้านพิพาทแต่คดีนี้ผู้ร้องทั้งสี่ยื่นคำร้องขอให้ผู้คัดค้านถอนการยึดบ้านพิพาทโดยกล่าวอ้างว่า บ้านพิพาทตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องทั้งสี่ตามสัญญาว่าจ้างปลูกสร้างบ้านพิพาทก่อนที่ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยที่ 1 คำร้องของผู้ร้องทั้งสี่ทั้งสองคดีมิได้มีประเด็นข้อพิพาทอย่างเดียวกัน คำร้องขอของผู้ร้องทั้งสี่ในคดีนี้ จึงไม่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลอันเกี่ยวกับคดีที่ได้วินิจฉัยชี้ขาดแล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 144 ประกอบด้วยพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 153แต่ที่ผู้ร้องทั้งสี่กับผู้คัดค้านเป็นคู่ความเดียวกันในคดีก่อนและทั้งสองคดีก็พิพาทกันในมูลกรรมสิทธิ์บ้านพิพาทเดียวกัน การที่ผู้ร้องทั้งสี่ยื่นคำร้องขอให้ผู้คัดค้านโอนบ้านพิพาทให้แก่ผู้ร้องทั้งสี่ตามสัญญาว่าจ้างปลูกสร้างบ้านในคดีก่อน เท่ากับยอมรับว่าบ้านพิพาทเป็นของจำเลยที่ 1 เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยให้ยกคำร้องในส่วนนี้ และผู้ร้องทั้งสี่มิได้อุทธรณ์ คำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นในคดีก่อนจึงผูกพันผู้ร้องทั้งสี่และผู้คัดค้าน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 ประกอบพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 153 ศาลในคดีนี้จึงต้องฟังข้อเท็จจริงว่าบ้านพิพาทเป็นของจำเลยที่ 1 ไม่ใช่ของผู้ร้องทั้งสี่ ผู้ร้องทั้งสี่จึงไม่มีสิทธิร้องขอให้ผู้คัดค้านเพิกถอนการยึดได้ ปัญหาดังกล่าวเป็นเรื่องอำนาจฟ้อง ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเองได้
ย่อยาว
คดีทั้งสี่สำนวนนี้ ศาลชั้นต้นมิได้รวมพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกัน แต่ศาลอุทธรณ์เห็นว่า คดีทั้งสี่สำนวนดังกล่าวเกี่ยวพันกัน โจทก์จำเลยเป็นคู่ความรายเดียวกัน หากได้รวมการพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกันจะเป็นการสะดวก จึงให้พิจารณาพิพากษารวมกัน
คดีนี้สืบเนื่องจากศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งสามไว้เด็ดขาด และต่อมาได้พิพากษาให้จำเลยทั้งสามล้มละลายกับมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์หุ้นส่วนประเภทไม่จำกัดความรับผิดของจำเลยที่ 1 ไว้เด็ดขาด โจทก์นำผู้คัดค้านไปทำการยึดทรัพย์ของจำเลยที่ 1 อันได้แก่ที่ดินพร้อมอาคาร 9 หลัง ทรัพย์ที่ถูกยึดดังกล่าวมีบ้านที่ผู้ร้องทั้งสี่อ้างว่าเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมอยู่ด้วย ผู้ร้องทั้งสี่จึงยื่นคัดค้านการยึดทรัพย์ต่อผู้คัดค้านผู้คัดค้านสอบสวนแล้วมีคำสั่งไม่ให้ถอนการยึด โดยให้เหตุผลว่าบ้านพิพาทเป็นทรัพย์สินของจำเลยในคดีล้มละลายอันอาจแบ่งแก่เจ้าหนี้ได้ ผู้คัดค้านจึงมีอำนาจนำมาขายทอดตลาดเพื่อเอาเงินมาแบ่งเฉลี่ยให้แก่เจ้าหนี้ได้
ผู้ร้องทั้งสี่ยื่นคำร้องขอมีใจความทำนองเดียวกันว่า ผู้ร้องทั้งสี่ได้ว่าจ้างให้จำเลยที่ 1 ปลูกสร้างอาคารที่อยู่อาศัยในที่ดินซึ่งผู้ร้องทั้งสี่มีสิทธิครอบครองในฐานะผู้จะซื้อ ผู้ร้องทั้งสี่ได้ชำระเงินค่าจ้างตามสัญญาให้แก่จำเลยที่ 1 ผู้รับจ้างครบถ้วนแล้ว บ้านพิพาทจึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องทั้งสี่ตามสัญญาก่อนที่ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยที่ 1ไว้เด็ดขาด จึงมิใช่ทรัพย์ของจำเลยที่ 1 ในคดีล้มละลายอันอาจแบ่งแก่เจ้าหนี้ได้ ขอให้ศาลมีคำสั่งถอนการยึดบ้านพิพาทของผู้ร้องทั้งสี่
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านมีใจความทำนองเดียวกันว่า ผู้ร้องทั้งสี่ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินที่ปลูกบ้านพิพาทกับจำเลยที่ 1โดยในสัญญาตกลงว่าจะชำระราคาให้แล้วเสร็จในวันโอนกรรมสิทธิ์เมื่อไม่ปรากฏว่ามีการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวที่ดินจึงยังเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 ดังนั้น บ้านพิพาทจึงเป็นส่วนควบของที่ดินนั้น ส่วนการปลูกสร้างบ้านตามสัญญาว่าจ้างปลูกสร้างบ้านบนที่ดินดังกล่าวนั้นใช้วัสดุ อุปกรณ์ และคนงานของจำเลยที่ 1 ทั้งหมด บ้านพิพาทจึงเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1ผู้รับจ้างจนกว่าจะมีการส่งมอบและชำระราคาค่าบ้านครบถ้วน ต่อมาผู้ร้องทั้งสี่ได้ยื่นคำร้องต่อผู้คัดค้านขอให้ปฏิบัติตามสัญญาผู้คัดค้านเห็นว่าการปฏิบัติตามสัญญามีภาระเกินควรกว่าประโยชน์ที่จะพึงได้แก่กองทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 จึงยกคำร้อง ผู้ร้องทั้งสี่จึงยื่นคำร้องคัดค้านคำสั่งของผู้คัดค้านต่อศาลชั้นต้นศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องของผู้ร้องทั้งสี่ ผู้ร้องทั้งสี่อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน คดีอยู่ระหว่างผู้ร้องทั้งสี่ฎีกาและผู้ร้องทั้งสี่ได้มายื่นคำคัดค้านต่อผู้คัดค้านขอให้ปล่อยบ้านพิพาทที่ยึด ผู้คัดค้านจึงยกคำคัดค้านของผู้ร้องทั้งสี่อีกครั้งหนึ่ง ขอให้ยกคำร้องของผู้ร้องทั้งสี่
ศาลชั้นต้นพิจารณาคำร้องขอทั้งสี่สำนวนแล้ววินิจฉัยทำนองเดียวกันว่า บ้านพิพาทเป็นส่วนควบของที่ดินยังเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 เมื่อผู้ร้องทั้งสี่ยังมิได้ปฏิบัติตามสัญญาว่าจ้างปลูกสร้างบ้านพิพาทให้ถูกต้อง จึงถือว่าจำเลยที่ 1 ยังมิได้ส่งมอบบ้านพิพาทให้แก่ผู้ร้องทั้งสี่ ผู้ร้องทั้งสี่จึงยื่นคำร้องขัดทรัพย์ไม่ได้ นอกจากนี้การยื่นคำร้องขอของผู้ร้องทั้งสี่ในคดีนี้เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลนั้นอันเกี่ยวกับคดีหรือประเด็นที่ได้วินิจฉัยชี้ขาดแล้วนั้น จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 พิพากษายกคำร้องขอทั้งสี่สำนวน
ผู้ร้องทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องทั้งสี่ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาที่จะวินิจฉัยในชั้นนี้เป็นประการแรกคือ ผู้ร้องทั้งสี่ดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลอันเกี่ยวกับคดีหรือประเด็นที่ได้วินิจฉัยชี้ขาดแล้วหรือไม่ ที่ผู้ร้องทั้งสี่ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายอย่างเดียวกันว่า คดีก่อนศาลมิได้มีคำวินิจฉัยว่าบ้านพิพาทเป็นของผู้ร้องทั้งสี่หรือไม่ ส่วนในคดีนี้มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยชี้ขาดว่าบ้านพิพาทเป็นของผู้ร้องทั้งสี่หรือไม่อันจะมีผลให้วินิจฉัยต่อไปว่าผู้ร้องทั้งสี่มีสิทธิขอให้ถอนการยึดบ้านพิพาทได้หรือไม่ และประเด็นที่ว่าผู้คัดค้านมีสิทธิปฏิเสธที่จะไม่ปฏิบัติตามสัญญาว่าจ้างปลูกสร้างบ้านแทนจำเลยที่ 1ในคดีก่อนได้ถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว เพราะผู้ร้องทั้งสี่ไม่ได้อุทธรณ์ในประเด็นนี้ ดังนั้น การที่ผู้ร้องทั้งสี่ขอให้ผู้คัดค้านถอนการยึดบ้านพิพาทในคดีนี้จึงไม่เป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 ประกอบกับพระราชบัญญัติ ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 153 แต่อย่างใดนั้น เห็นว่าในคดีก่อน ผู้ร้องทั้งสี่ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอให้มีคำสั่งกลับคำวินิจฉัยของผู้คัดค้านโดยขอให้ผู้คัดค้านดำเนินการโอนที่ดินและบ้านพิพาทให้แก่ผู้ร้องทั้งสี่ตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินและสัญญาว่าจ้างปลูกสร้างบ้านพิพาท ซึ่งผู้คัดค้านได้ใช้สิทธิตามมาตรา 122 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 ปฏิเสธสัญญาดังกล่าว แต่คดีนี้ ผู้ร้องทั้งสี่ยื่นคำร้องขอให้ผู้คัดค้านถอนการยึดบ้านพิพาทโดยกล่าวอ้างว่า บ้านพิพาทตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องทั้งสี่ตามสัญญาว่าจ้างปลูกสร้างบ้านพิพาทก่อนที่ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยที่ 1 คำร้องของผู้ร้องทั้งสี่ทั้งสองคดีมิได้มีประเด็นข้อพิพาทอย่างเดียวกัน คำร้องขอของผู้ร้องทั้งสี่ในคดีนี้จึงไม่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลอันเกี่ยวกับคดีหรือประเด็นที่ได้วินิจฉัยชี้ขาดแล้ว อันต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 ประกอบด้วยพระราชบัญญัติ ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 153 แต่การที่ผู้ร้องทั้งสี่กับผู้คัดค้านเป็นคู่ความเดียวกันในคดีก่อนด้วย และทั้งสองคดีก็พิพาทกันในมูลกรรมสิทธิ์บ้านพิพาทอันเดียวกัน ในคดีก่อนผู้ร้องทั้งสี่ยื่นคำร้องขอให้ผู้คัดค้านโอนบ้านพิพาทให้แก่ผู้ร้องทั้งสี่ตามสัญญาว่าจ้างปลูกสร้างบ้านพิพาทเท่ากับเป็นการยอมรับว่าบ้านพิพาทเป็นของจำเลยที่ 1 เมื่อศาลชั้นต้นในคดีก่อนวินิจฉัยให้ยกคำร้องในส่วนนี้ของผู้ร้องทั้งสี่ และผู้ร้องทั้งสี่มิได้อุทธรณ์คำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นในคดีก่อนจึงผูกพันผู้ร้องทั้งสี่และผู้คัดค้านตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145ประกอบด้วยพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 153 ศาลในคดีนี้จึงต้องฟังข้อเท็จจริงว่า บ้านพิพาทเป็นของจำเลยที่ 1 ไม่ใช่ของผู้ร้องทั้งสี่ ผู้ร้องทั้งสี่จึงไม่มีสิทธิร้องขอให้ผู้คัดค้านเพิกถอนการยึดได้ ปัญหาข้อนี้เป็นเรื่องอำนาจฟ้องอันเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาเห็นสมควรยกขึ้นวินิจฉัย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกคำร้องของผู้ร้องทั้งสี่นั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล
พิพากษายืน