คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2610/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้เสียหายได้มอบกระบือและรถจักรยาน 2 ล้อให้จำเลยเป็นผู้ควบคุมดูแลรักษาโดยเก็บรักษาไว้ที่นาเพื่อใช้ทำนาและไร่ ตามพฤติการณ์ดังกล่าวผู้เสียหายได้มอบหมายให้จำเลยยึดถือครอบครองทรัพย์นั้นแทนผู้เสียหาย การยึดถือครอบครองทรัพย์จึงอยู่ที่จำเลย หาใช่ยังอยู่ที่ผู้เสียหายไม่ เมื่อจำเลยเอาทรัพย์นั้นไปให้แก่บุคคลอื่น จึงมีความผิดฐานยักยอกทรัพย์ หาใช่ลักทรัพย์ตามฟ้องไม่เมื่อกรณีเป็นเช่นนี้ ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในทางพิจารณาจึงแตกต่างกับข้อเท็จจริงตามฟ้องในข้อสาระสำคัญซึ่งโจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษจำเลย จะลงโทษจำเลยตามฟ้องไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกร่วมกันลักกระบือและรถจักรยาน 2 ล้อหรือรับของโจรทรัพย์ดังกล่าว ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335,357, 83

จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335(1) จำคุก 3 ปี จำเลยที่ 2 มีความผิดตามมาตรา 357 จำคุก 3 ปีและให้จำเลยทั้งสองต่างคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ 7,500 บาทแก่ผู้เสียหาย

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ยกฟ้อง

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เฉพาะจำเลยที่ 1 เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ความว่าผู้เสียหายได้มอบทรัพย์ที่หายให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้ควบคุมดูแลรักษา โดยเก็บรักษาไว้ที่นาเพื่อใช้งานดังกล่าว ศาลฎีกาเห็นว่าตามพฤติการณ์ดังกล่าว ผู้เสียหายได้มอบหมายให้จำเลยที่ 1 ยึดถือครอบครองทรัพย์ที่หายไว้แทนผู้เสียหาย การยึดถือครอบครองทรัพย์ดังกล่าวจึงอยู่ที่จำเลยที่ 1 หาใช่การยึดถือครอบครองทรัพย์ดังกล่าวยังอยู่ที่ผู้เสียหายไม่ดังนั้น แม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ความตามที่โจทก์นำสืบว่าจำเลยที่ 1 เอากระบือและรถจักรยาน 2 ล้อตามฟ้องที่ได้รับมอบหมายไว้ไปให้แก่บุคคลอื่นไปก็ดี ก็ฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้เบียดบังเอาทรัพย์ของผู้เสียหายเป็นของตนเองหรือบุคคลที่สามโดยทุจริต อันเป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์ หาใช่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์ตามฟ้องไม่ เมื่อกรณีเป็นเช่นนี้ ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในทางพิจารณาจึงแตกต่างกับข้อเท็จจริงตามฟ้องในข้อสาระสำคัญ ซึ่งโจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยดังที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัย

พิพากษายืน

Share