คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3922/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีก่อนผู้เยาว์ทั้งสี่และมารดาร่วมกันฟ้องจำเลยกับ ส.ให้โอนที่ดินพิพาทซึ่งเป็นทรัพย์มรดกของ จ. บิดาผู้เยาว์ให้กับผู้เยาว์ทั้งสี่ศาลพิพากษาว่าผู้เยาว์ทั้งสี่มีสิทธิในที่ดินพิพาทสี่ในห้าส่วนให้จำเลยและส.โอนให้ผู้เยาว์ทั้งสี่คดีถึงที่สุดได้มีการแก้ไขทางทะเบียนที่ดินพิพาทจาก ส. มาเป็นชื่อผู้เยาว์ทั้งสี่และจำเลยตามคำพิพากษาแล้ว การที่จำเลยต่อสู้ในคดีนี้อีกว่าจำเลยโอนที่ดินพิพาทให้ ส. ไปแล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องจึงรับฟังไม่ได้ เพราะศาลได้วินิจฉัยประเด็นนี้ไว้ในคดีก่อนแล้วจำเลยจึงต้องผูกพันตามคำพิพากษาในคดีก่อน เอกสารท้ายฟ้องถือเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้อง การพิจารณาว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ ต้องอ่านคำฟ้องและเอกสารท้ายฟ้องประกอบกัน ปัญหาเรื่องฟ้องโจทก์ขาดสาระสำคัญบางประการ จำเลยมิได้ยกขึ้นว่ากันมาในศาลชั้นต้น เพิ่งยกขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์ แม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยให้ ก็ไม่ถือว่าเป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในชั้นศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้นำที่ดินพิพาทที่มีชื่อผู้เยาว์ทั้งสี่กับจำเลยออกขายทอดตลาดนำเงินที่ขายได้มาแบ่งกัน หากจำเลยไม่ยอมให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การว่า จำเลยโอนที่ดินพิพาทให้นายสวัสดิ์ มหาจันทร์บุตรจำเลยไปนาน 3 ปีเศษแล้ว นายสวัสดิ์ได้ครอบครองทำประโยชน์อย่างเป็นเจ้าของ จำเลยไม่ได้เกี่ยวข้องกับที่พิพาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้นำที่ดินพิพาทออกขายนำเงินที่ได้มาแบ่งกันหากจำเลยไม่ยอมให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยฎีกาในปัญหาข้อแรกว่า จำเลยได้โอนที่ดินพิพาททั้งสี่แปลงให้แก่นายสวัสดิ์ มหาจันทร์ และนายสวัสดิ์ได้ครอบครองที่ดินพิพาทมาเป็นเวลากว่า 3 ปี จึงได้สิทธิครอบครองฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่อาจให้จำเลยปฏิบัติตามคำบังคับได้ แม้จะได้มีคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 611/2526 ของศาลชั้นต้นให้จำเลยโอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ เมื่อจำเลยไม่ได้เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทแล้ว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย ศาลฎีกาได้ตรวจดูสำเนาคำพิพากษาคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 611/2526 ของศาลชั้นต้น(เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 3) ได้ความว่า ในคดีดังกล่าวผู้เยาว์ทั้งสี่และนางประนอม มหาจันทร์ มารดาได้ร่วมกันเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยคดีนี้เป็นจำเลยที่ 1 และนายสวัสดิ์ มหาจันทร์ เป็นจำเลยที่ 2 ขอให้ร่วมกันโอนที่ดินพิพาท 4 แปลง (คือที่ดินพิพาทคดีนี้) ซึ่งเป็นทรัพย์มรดกของนายจำรัส มหาจันทร์ ผู้ตาย ให้แก่โจทก์ และในที่สุดศาลได้มีคำพิพากษาให้แบ่งที่ดินพิพาท 4 แปลงนั้นออกเป็น 5 ส่วน ให้ตกแก่โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 5 (ผู้เยาว์ทั้งสี่คดีนี้) กับจำเลยที่ 1 (จำเลยคดีนี้) คนละ 1 ส่วน ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันโอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 5 ตามส่วนที่แต่ละคนจะได้รับ หากไม่โอนให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง คดีถึงที่สุดแล้ว ปรากฏว่าในคดีดังกล่าว ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยไว้ตอนหนึ่งว่า จำเลยที่ 1 ได้ยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของนายจำรัสต่อศาลตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 153/2525 และได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการมรดกของนายจำรัส จึงถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ครอบครองที่ดินพิพาทไว้แทนทายาทคนอื่นของนายจำรัสโจทก์จึงฟ้องขอแบ่งที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1 ได้ แม้จะเกิน 1 ปีนับแต่เจ้ามรดกตาย ส่วนจำเลยที่ 2 (นายสวัสดิ์) ได้รับโอนที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2526 เป็นเวลาก่อนฟ้องเพียง 20 วันโจทก์จึงฟ้องเรียกที่ดินพิพาทคืนจากจำเลยที่ 2ได้เช่นกัน คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ เห็นได้ว่าในคดีก่อนนั้นศาลได้วินิจฉัยไว้แล้วว่า การที่จำเลยคดีนี้โอนที่ดินพิพาทให้นายสวัสดิ์ไปเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2526 ไม่มีผลต่อความเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทของผู้เยาว์ทั้งสี่ และพิพากษาให้จำเลยและนายสวัสดิ์ร่วมกันแบ่งที่ดินพิพาทโอนให้ผู้เยาว์ทั้งสี่ ทั้งปรากฏว่าได้มีการแก้ไขทางทะเบียนในที่ดินพิพาททั้งสี่แปลงจากนายสวัสดิ์มาเป็นชื่อผู้เยาว์ทั้งสี่และจำเลย ตั้งแต่วันที่ 10มกราคม 2524 แล้ว ดังนั้นที่จำเลยให้การต่อสู้ในคดีนี้อีกว่า จำเลยได้โอนที่ดินพิพาททั้งสี่แปลงให้แก่นายสวัสดิ์ไปตั้งแต่วันที่20 พฤษภาคม 2526 โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้อีกย่อมรับฟังไม่ได้ เพราะข้อต่อสู้ของจำเลยดังกล่าวจำเลยได้เคยต่อสู้ไว้ในคดีก่อนและศาลได้ยกขึ้นเป็นประเด็นวินิจฉัยไว้แล้ว จำเลยจึงต้องผูกพันตามคำพิพากษาดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
จำเลยฎีกาปัญหาข้อต่อไปว่า ฟ้องโจทก์อ้างเพียงว่า จำเลยเป็นย่าของผู้เยาว์ทั้งสี่ แต่ไม่ได้บรรยายว่าจำเลบกับผู้เยาว์ทั้งสี่มีความเกี่ยวพันกันอย่างไร และบิดาผู้เยาว์เป็นใครมีความเกี่ยวพันกับจำเลยอย่างไร ฟ้องโจทก์จึงเคลือบคลุม เห็นว่า แม้ในคำฟ้องโจทก์จะมิได้บรรยายว่าย่ามีความสัมพันธ์กับผู้เยาว์ทั้งสี่อย่างไรแต่โจทก์ได้แนบสำเนาทะเบียนบ้าน และสำเนาคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ 611/2526 เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 1 และ 3 มาด้วย ซึ่งเอกสารท้ายฟ้องนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้อง เมื่ออ่านคำฟ้องและเอกสารท้ายฟ้องดังกล่าวรวมกันแล้วได้ความชัดเจนว่าจำเลยเป็นมารดาของนายจำรัสบิดาผู้เยาว์ทั้งสี่ หรืออีกนัยหนึ่งเป็นย่าแท้ ๆ ของผู้เยาว์ทั้งสี่ ฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุมดังที่จำเลยอ้าง ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นอีกเช่นกัน
จำเลยฎีกาปัญหาข้อสุดท้ายว่า โจทก์กรอกข้อความในแบบพิมพ์คำฟ้องช่องทุนทรัพย์ว่า 15,000 บาท แต่โจทก์ไม่ได้บรรยายให้เห็นว่าที่ดินแต่ละแปลงราคาเท่าใด เพื่อว่าจำเลยจะได้มีโอกาสโต้แย้งคัดค้านได้ถูกต้องว่า โจทก์ชำระค่าขึ้นศาลครบถ้วนถูกต้องหรือไม่ฟ้องโจทก์ขาดสาระสำคัญเห็นว่า ปัญหาดังกล่าวจำเลยไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาในศาลชั้นต้น จำเลยเพิ่งยกขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์ แม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยปัญหานี้ก็ตาม ก็ไม่ถือว่าเป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาในชั้นอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
พิพากษายืน.

Share