แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
พยานโจทก์ไม่มีใครรู้เห็นว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ได้ช่วยจำเลยที่ 4 แบ่งบรรจุเฮโรอีนใส่หลอดพลาสติกและพยานที่สืบสวนมาก็ไม่ได้ความว่าสืบมาอย่างไร จากใคร เมื่อรู้ก่อนนานแล้วทำไมไม่ดำเนินการจับกุม เหตุใดต้องรอมาจนถึงวันเกิดเหตุ ดังนี้ การที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ถูกกล่าวหา จึงน่าเป็นเพราะอยู่ด้วยกับจำเลยที่ 4 ในบ้านเกิดเหตุ เฮโรอีนของกลางอาจบรรจุหลอดพลาสติกมาก่อนแล้วก็ได้และตามวิสัยการกระทำผิดอันร้ายแรงเช่นนี้ ชอบที่จำเลยที่ 4 กับพวกต้องปิดบังไว้ไม่น่าให้จำเลยที่ 1 ที่ 2ที่ 3 ล่วงรู้ไปได้ พยานหลักฐานโจทก์จึงมีเหตุสงสัยตามสมควรว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 จะได้กระทำผิดฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามฟ้องหรือไม่ จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ส่วนความผิดฐานขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่นั้น เมื่อไม่ได้ความว่าจำเลยที่ 1 ที่ 4 กระทำอื่นใดนอกเหนือไปจากจำเลยที่ 4 ไม่ยอมเปิดประตูและจำเลยที่ 1 พูดห้ามมิให้เปิดกับเรียกจำเลยที่ 4 เข้าไปในบ้าน หลังจากนั้นไฟฟ้าภายในบ้านก็ดับลงไม่ทราบว่าใครเป็นคนดับและจำเลยที่ 2 ที่ 3 ได้กระทำการอันใดบ้าง การกระทำของจำเลยที่ 1 ที่ 4 จึงยังถือไม่ได้ว่าเป็นความผิดฐานขัดขวางเจ้าพนักงาน และการที่จำเลยที่ 2 ที่ 3 อยู่ภายในบ้านเกิดเหตุด้วย จะถือว่าได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ที่ 4 ไม่ให้ความสะดวกแก่เจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่ไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสี่ร่วมกันขัดขวางและไม่ให้ความสะดวกแก่นายเฉลิม สัมพันธ์ชิต กับพวก ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายในการที่จะเข้าตรวจค้นและยึดยาเสพติดในบ้านที่จำเลยทั้งสี่ครอบครองอาศัยอยู่อันเป็นการปฏิบัติการตามหน้าที่ โดยจำเลยทั้งสี่ไม่ยอมเปิดประตูบ้านพัก และจำเลยทั้งสี่กับพวกที่ยังไม่ได้ตัวมาอีก 2 คน ร่วมกันมีเฮโรอีนไฮโดรคลอไรด์ อันเป็นยาเสพติดให้โทษชนิดร้ายแรงประเภท 1 จำนวน 693 หลอด หนัก 615.8 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 138, 140 พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 15, 66, 102 พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2519 มาตรา 16 และริบของกลาง
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ให้การปฏิเสธ จำเลยที่ 4 ให้การรับสารภาพข้อหามีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ปฏิเสธข้อหาขัดขวางไม่ให้ความสะดวกแก่เจ้าพนักงาน
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138 วรรคแรก ประกอบมาตรา 140 วรรคแรกพระราชบัญญัติ ป้องกันและปราบปรามยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2519 มาตรา16 พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสอง,66 วรรคสอง เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ข้อหาขัดขวางไม่ให้ความสะดวกแก่เจ้าพนักงานเป็นกรรมเดียว ผิดกฎหมายหลายบท ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138 วรรคแรก ประกอบมาตรา140 วรรคแรก ซึ่งเป็นบทหนัก ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก3 ปี ฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุกตลอดชีวิตรวมแล้วคงจำคุกจำเลยทั้งสี่ไว้ตลอดชีวิต ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91(3) จำเลยที่ 4 รับสารภาพเพราะจำนนต่อหลักฐานไม่สมควรลดโทษให้ ริบของกลาง
จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 4 มีความผิดตามพระราชบัญญัติ ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสอง, 66วรรคสอง, 102 จำคุกตลอดชีวิต และมีความผิดตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2519 มาตรา 16 จำคุก 6 เดือนคำรับสารภาพของจำเลยที่ 4 เป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา78, 53 จำคุก 25 ปี รวมจำคุกจำเลยที่ 4 มีกำหนด 25 ปี 6 เดือนจำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามยาเสพติดพ.ศ. 2519 มาตรา 16 จำคุก 6 เดือน ริบของกลาง ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 และที่ 4 ในข้อหาอื่นนอกจากนี้และยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 และที่ 3
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่โจทก์ฎีกาประการแรกว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 4 กระทำความผิดฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายหรือไม่ เห็นว่า2…พยานโจทก์ดังกล่าวมาไม่มีใครรู้เห็นว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3ได้ช่วยจำเลยที่ 4 แบ่งบรรจุเฮโรอีนใส่หลอดพลาสติก และที่พยานสืบสวนมาก็ไม่ได้ความว่าสืบมาอย่างไร จากใคร เมื่อรู้ก่อนนานแล้วทำไมไม่ดำเนินการจับกุม เพราะเหตุใดจะต้องรอมาจนถึงวันเกิดเหตุดังนี้ การที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ถูกกล่าวหาจึงน่าเป็นเพราะอยู่ด้วยกับจำเลยที่ 4 ในบ้านเกิดเหตุมากกว่า เมื่อได้ความว่าเฮโรอีนของกลาง สิบตำรวจเอกวิลาศกับนางวาสนานำมาซุกซ่อนในบ้านเกิดเหตุอาจมีการบรรจุหลอดพลาสติกมาก่อนแล้วก็ได้ และตามวิสัยของการกระทำผิดอันร้ายแรงเช่นนี้ ชอบที่สิบตำรวจเอกวิลาศนางวาสนาและจำเลยที่ 4 ต้องปิดบังไว้ไม่น่าให้จำเลยที่ 1 ที่ 2ที่ 3 ล่วงรู้ไปได้ แม้จะอยู่บ้านเรือนเดียวกันก็ตาม ส่วนการที่จำเลยที่ 1 พูดห้ามมิให้จำเลยที่ 4 เปิดประตูบ้านเพื่อให้พยานเข้าไปตรวจค้นและมีการดับไฟฟ้าภายในบ้านนั้นเมื่อปรากฏว่าขณะเกิดเหตุเป็นเวลาวิกาลประมาณ 24 นาฬิกา พยานแสดงตัวว่าเป็นเจ้าพนักงานอยู่นอกบ้าน จำเลยที่ 1 อาจเข้าใจเป็นผู้อื่นที่อ้างตัวเป็นเจ้าพนักงานเพื่อเข้ามากระทำการในบ้านโดยมิชอบก็เป็นได้ฉะนั้น พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาจึงมีเหตุสงสัยตามสมควรว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 จะได้กระทำความผิดฐานมีเฮโรอีนไฮโดรคลอโรด์ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามฟ้องหรือไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 นั้น ชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต่อไปมีว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่อันจะมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138, 140 และจำเลยที่ 2 ที่ 3 ไม่ให้ความสะดวกแก่เจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่อันจะมีความผิดตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2519มาตรา 16 หรือไม่ เห็นว่า ข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบมาได้ความเพียงว่าขณะเกิดเหตุจำเลยทั้งสี่อยู่ภายในบ้านเกิดเหตุด้วยกันระหว่างนั้น พยานโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานแสดงตัวขอเข้าไปตรวจค้นยาเสพติดภายในบ้านดังกล่าว โดยขอให้จำเลยที่ 4 เปิดประตูจำเลยที่ 4 ไม่ยอมเปิด และจำเลยที่ 1 พูดห้ามมิให้เปิดพร้อมกับเรียกจำเลยที่ 4 เข้าไปในบ้านหลังจากนั้นไฟฟ้าภายในบ้านก็ดับลงไม่ทราบว่าใครเป็นคนดับ เมื่อไม่ได้ความว่าจำเลยที่ 1 ที่ 4กระทำการอื่นใดนอกเหนือไปจากนี้ และจำเลยที่ 2 ที่ 3 ได้กระทำการอันใดบ้าง การกระทำของจำเลยที่ 1 ที่ 4 จึงยังถือไม่ได้ว่าเป็นความผิดฐานขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่ และการที่จำเลยที่ 2 ที่ 3 อยู่ภายในบ้านเกิดเหตุด้วยจะถือว่าได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ที่ 4 ไม่ให้ความสะดวกแก่เจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่ไม่ได้ ข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3กระทำความผิดฐานขัดขวางและไม่ให้ความสะดวกแก่เจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่ ศาลอุทธรณ์จึงพิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นเดียวกัน”
พิพากษายืน