แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
คนร้ายทั้ง 3 คน สวมหมวกไหมพรมสีดำคลุมศีรษะปิดลงมาถึงคอ เปิดแค่ ตา จมูก และคาง จึงไม่สามารถจะรู้ได้ว่าเป็นผู้ใด แม้จะเป็นคนรู้จักกันมาก่อนก็ตาม ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยมีรูปร่างลักษณะพิเศษผิดแผกไปจากบุคคลอื่น อันจะเป็นจุดเด่นเฉพาะตัว ขณะเกิดเหตุเวลากลางคืน คนร้ายที่ผู้เสียหายอ้างว่าคือจำเลยก็ไม่ได้พูดอะไรพอที่จะจดจำเสียงได้ บ้านที่เกิดเหตุมีหลอดไฟฟ้านีออนอยู่เหนือประตูด้านนอก แสงไฟส่องเข้ามาในบ้านไม่มากนัก ทำให้มองเห็นไม่ชัดเจน และขณะเกิดเหตุพยานถูกคนร้ายใช้อาวุธปืนจี้หน้าอกจากนั้นถูกเตะถีบจนสลบไป ในสภาวะเช่นนั้น พยานต้องอยู่ในอาการตกใจกลัว ย่อมไม่มีโอกาสสังเกตพวกคนร้าย นอกจากนี้หลังเกิดเหตุพยานไปแจ้งความที่สถานีตำรวจก็ไม่ได้ระบุว่าใครปล้นเป็นการผิดวิสัยของการรู้ตัวคนร้าย พยานหลักฐานโจทก์จึงไม่พอฟังว่าจำเลยเป็นคนร้าย.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2514ข้อ 14 และให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ 18,900 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 340 วรรคสอง ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ลงวันที่21 พฤศจิกายน 2514 ข้อ 14 ให้จำคุก 12 ปี ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์จำนวน 18,900 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า ตามวันและเวลาเกิดเหตุ คนร้าย 3 คน มีปืนสั้นเป็นอาวุธปล้นเอาเงินสดจำนวน 15,000 บาท ของนายเวียง และสร้อยคอทองคำ 2 เส้น ราคา 3,900 บาท ของนางเตือนใจผู้เสียหายไป และคนร้ายได้ร่วมกันทำร้ายร่างกายนางเตือนใจจนสลบ คดีมีปัญหาตามฎีกาของโจทก์ว่าจำเลยเป็นคนร้ายรายนี้ด้วยหรือไม่ โดยโจทก์ฎีกาว่าแม้โจทก์จะมีนางเตือนใจเป็นประจักษ์พยานปากเดียว แต่มีเหตุผลน่าเชื่อถือ เพราะพยานกับจำเลยมีบ้านอยู่ใกล้กัน รู้จักกันดีจนจำลักษณะท่าทางของจำเลยได้ ขณะเกิดเหตุมีแสงสว่างจากหลอดไฟฟ้าหลังบ้านสาดส่องเข้ามาในบ้าน และพยานยังเห็นรอยสักที่แขนจำเลยด้วยจึงฟังได้ว่าจำเลยเป็นคนร้ายคนหนึ่งนั้น เห็นว่า ขณะเกิดเหตุคนร้ายทั้ง 3 คน สวมหมวกไหมพรมสีดำคลุมศีรษะปิดลงมาถึงคอเปิดแค่ตาจมูกและคางเท่านั้น จึงไม่สามารถจะรู้ได้ว่าเป็นผู้ใดแม้จะเป็นคนรู้จักกันมาก่อนก็ตาม ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยมีรูปร่างลักษณะพิเศษผิดแผกไปจากบุคคลอื่นอันจะเป็นจุดเด่นเฉพาะตัวและขณะเกิดเหตุคนร้ายที่นางเตือนใจอ้างว่าคือจำเลยก็ไม่ได้พูดอะไรพอที่จะให้นางเตือนใจจดจำเสียงพูดได้บ้าง เฉพาะอย่างยิ่งบ้านเกิดเหตุมีหลอดไฟฟ้านีออนอยู่เหนือประตูบ้านด้านนอกแสงไฟที่สาดส่องเข้าภายในบ้านทางช่องลมจึงมีไม่มากนัก ทำให้มองเห็นไม่ชัดเจนยิ่งไปกว่านั้นได้ความจากคำของนางเตือนใจว่า พวกคนร้ายได้ใช้อาวุธปืนจี้ที่หน้าอกพยาน บังคับให้เดินเข้าไปในบ้านพาออกนอกบ้านและคนร้ายได้เตะถีบพยานจนสลบไป ในสภาวะเช่นนั้นพยานจะต้องอยู่ในอาการตกใจกลัว ย่อมไม่มีโอกาสสังเกตพวกคนร้ายเป็นแน่สำหรับข้อที่โจทก์ฎีกาว่า นางเตือนใจยังจำรอยสักที่แขนซ้ายจำเลยเป็นรูปลูกศรด้วยนั้น ก็ปรากฏว่ารอยสักที่แขนซ้ายของจำเลยมีข้อความเป็นภาษาไทยว่า “รักจริงจากใจ” “ชีวิตนี้ยังมีหวัง”หาได้เป็นรูปลูกศรไม่ แม้โจทก์จะนำสืบว่า ระหว่างที่จำเลยถูกควบคุมตัวอยู่ที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอย่านตาขาว จำเลยพยายามขูดลบรอยสักของตนเองก็ตาม เมื่อมิใช่รอยสักที่พยานโจทก์จดจำได้แล้ว ข้อนำสืบดังกล่าวก็ไม่เกิดผลดีแก่พยานหลักฐานของโจทก์แต่อย่างใด นอกจากนี้นายเวียงเบิกความว่า ในตอนเช้าวันเกิดเหตุพยานไปแจ้งความที่สถานีตำรวจ บอกว่าโจรปล้นบ้านแต่ไม่ได้บอกว่าใครปล้นจึงเป็นการผิดวิสัยของการรู้ตัวคนร้ายแล้ว ศาลฎีกาจึงเห็นว่าพยานหลักฐานของโจทก์ยังไม่พอฟังว่าจำเลยเป็นคนร้ายรายนี้ด้วยคนหนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาของของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.