แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
กฎหมายล้มละลายเป็นกฎหมายพิเศษมีวัตถุประสงค์ที่จะคุ้มครองบรรดาเจ้าหนี้ให้ได้รับชำระหนี้หรือได้รับส่วนแบ่งอย่างเป็นธรรม ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้มากไป กว่าที่จำเลยต้องรับผิดนั้น เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะมิได้โต้แย้งมาก่อนเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ก็ยกขึ้นฎีกาได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคสองประกอบด้วย พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 153
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองขอให้ล้มละลาย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งสองเด็ดขาด บริษัทธนาคารกสิกรไทย จำกัด ยื่นคำขอรับชำระหนี้ อันดับ 1 หนี้ค้ำประกันเงินกู้เบิกเงินเกินบัญชีของบริษัทอลายค์ชิปปิ้ง จำกัดจำนวนเงิน 12,338,513.72 บาท อันดับ 2 หนี้ค้ำประกันหนี้สินทุกประเภทของบริษัทอลายด์ชิปปิ้ง จำกัด จำนวนเงิน 6,740,893.83 บาท และอันดับ 3 หนี้เงินกู้ต้นเงิน และดอกเบี้ย จำนวนเงิน 3,388,086.10 บาท รวมเป็นจำนวนเงิน 22,467,493.65 บาท จากกองทรัพย์สินของจำเลยทั้งสอง รายละเอียดปรากฏตามบัญชีท้ายคำขอรับชำระหนี้
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์นัดตรวจคำขอรับชำระหนี้ ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 104 แล้ว ไม่มีผู้ใดโต้แย้งคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้รายนี้
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สอบสวนแล้ว เห็นว่า จำเลยที่ 1 เป็นหนี้ตามสัญญาค้ำประกันและสัญญากู้รวมเป็นจำนวนเงิน 12,388,086.10 บาท จำเลยที่ 2เป็นหนี้ตามสัญญาค้ำประกันจำนวนเงิน 9,000,000 บาท เห็นควรให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 เป็นจำนวนเงิน 12,388,086.10 บาท จากกองทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 เป็นจำนวนเงิน 9,000,000 บาท โดยให้ได้รับชำระหนี้แบบเจ้าหนี้มีประกันจากการขายทอดตลาดที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่จำเลยแต่ละคนจำนองไว้แก่เจ้าหนี้ ในส่วนของจำเลยที่ 1 เป็นจำนวนเงิน 3,530,000 บาท ในส่วนของจำเลยที่ 2 เป็นจำนวนเงิน 3,200,000 บาท ตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 96(3) หากหนี้ที่มีประกันและไม่มีประกันยังขาดอยู่เท่าใดให้ได้รับชำระหนี้เป็นส่วนเฉลี่ยตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 130(8)โดยมีเงื่อนไขว่า หากเจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้จากทรัพย์จำนองที่ดินตราจองเลขที่ 594และ 586 ตำบลปากคลองบางปลากด อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการขอนางลมุล พงศ์ธรานนท์ ผู้ค้ำประกัน หรือได้รับการเฉลี่ยหนี้จากกองทรัพย์สินของบริษัทอลายด์ชิปปิ้ง จำกัด ในคดีหมายเลขแดงที่ ล.75/2529 ของศาลชั้นต้น แล้วเพียงใดก็ให้สิทธิที่จะได้รับชำระหนี้ในคดีนี้ลดลงเพียงนั้น ส่วนที่ขอเกินและคำขออื่นให้ยกเสีย
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ตามความเห็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
เจ้าหนี้อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า หนี้อันดับ 1 ให้เจ้าหนี้ได้รับชำระดอกเบี้ยร้อยละ12.5 ต่อปี ของต้นเงิน 4,000,000 บาท นับแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2526 ถึงวันที่จำเลยทั้งสองถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด จากกองทรัพย์สินของจำเลยทั้งสอง โดยให้รับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม และดอกเบี้ยดังกล่าวให้เจ้าหนี้ได้รับชำระแบบเจ้าหนี้มีประกันโดยให้ได้รับชำระจากการขายทอดตลาดที่ดินตามสัญญาจำนองเอกสารหมาย จ.7เป็นจำนวนเงินที่คำนวณได้จากดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 12.5 ต่อปี ของต้นเงิน400,000 บาท นับแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2526 ถึงวันที่จำเลยที่ 1 ถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด และตามสัญญาจำนองเอกสารหมาย จ.8 และ จ.9 เป็นจำนวนเงินที่คำนวณได้จากดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 12.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,600,000 บาท และ 1,600,000 บาท นับแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2526 ถึงวันที่จำเลยที่ 2 ถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดมาตรา 96(3) หากยังขาดจำนวนอยู่ให้ได้รับชำระหนี้เป็นส่วนเฉลี่ยตามมาตรา 130(8) แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 และให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้อันดับ 2 ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 เพียง 6,740,893.83 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำสั่งของศาลชั้นต้น
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ฎีกาขอให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้อันดับ 2 เพียงจำนวนเงิน 5,784,841.92 บาท
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าบริษัทอลายด์ชิปปิ้ง จำกัด ยังคงค้างชำระเฉพาะดอกเบี้ยแก่เจ้าหนี้เท่านั้น ที่เจ้าหนี้อ้างว่าเงินจำนวน 5,784,841.92 บาท มีต้นเงินรวมอยู่ด้วยรับฟังไม่ได้ เจ้าหนี้คงมีสิทธิได้รับชำระหนี้อันดับ 2 เพียงจำนวนเงิน 5,784,841.92 บาท จากกองทรัพย์สินของจำเลยทั้งสอง ที่เจ้าหนี้แก้ฎีกาว่า เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทำความเห็นเสนอศาลชั้นต้นให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้อันดับ 2ซึ่งเป็นหนี้ค้ำประกันหนี้สินทุกประเภทของบริษัทอลายด์ชิปปิ้ง จำกัด จากกองทรัพย์สินของจำเลยทั้งสองคนละ 5,000,000 บาท รวมแล้ว 10,000,000 บาท ซึ่งเกินหนี้อันดับ 2 ที่เจ้าหนี้ขอรับชำระและศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ตามความเห็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แล้วไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ มีเพียงเจ้าหนี้แสดงให้ศาลอุทธรณ์เห็นว่าเจ้าหนี้ขอรับชำระหนี้จำนวนเงิน 6,740,893.83 บาท คดีย่อมถึงที่สุดไปตั้งแต่ศาลชั้นต้นแล้ว การที่ศาลอุทธรณ์ใช้อำนาจแก้ไขให้ถูกต้องจึงมีคำพิพากษาให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้อันดับ 2 เพียงจำนวนเงิน 6,740,893.83 บาทตามคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะกลับมาฎีกาลดจำนวนสิทธิของเจ้าหนี้ให้ต่ำลงไปอีก จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เห็นว่า กฎหมายล้มละลายเป็นกฎหมายพิเศษมีวัตถุประสงค์ที่จะคุ้มครองบรรดาเจ้าหนี้ให้ได้รับชำระหนี้หรือได้รับส่วนแบ่งอย่างเป็นธรรม ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้อันดับ 2 มากไปกว่าที่จำเลยทั้งสองต้องรับผิดนั้น เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะมิได้โต้แย้งมาก่อนเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ก็ย่อมยกขึ้นฎีกาได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคสอง ประกอบด้วยพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 153
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้อันดับ 2 เพียง 5,784,841.92 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์