คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3891/2535

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเบี้ยปรับตามสัญญาในกรณีที่จำเลยผิดสัญญาส่งมอบสิ่งของให้แก่โจทก์ล่าช้าและส่งมอบสิ่งของบางส่วนไม่ตรงตามที่ตกลงซื้อขายกันอันเป็นการฟ้องเรียกค่าเสียหายที่ตกลงกันไว้ล่วงหน้าในสัญญาเป็นเบี้ยปรับซึ่งมีอายุความสิบปีไม่ใช่เป็นการฟ้องเพื่อให้รับผิดในการส่งมอบทรัพย์ขาดตกบกพร่องหรือล้ำจำนวนตามสัญญาซื้อขายซึ่งมีอายุความหนึ่งปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 467

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์กับจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ได้ทำสัญญาซื้อขายหลอดวิทยุจำนวน 2 รายการ โดยในสัญญาข้อ 7 กำหนดว่าในวันทำสัญญานี้ให้ผู้ขายนำหลักประกันหนังสือค้ำประกันของธนาคารเป็นจำนวนร้อยละ 10 ของราคาสิ่งของที่ซื้อขายมามอบแก่โจทก์ผู้ซื้อเพื่อเป็นหลักประกันในการปฏิบัติตามสัญญา ในสัญญาข้อ 8กำหนดว่า เมื่อครบกำหนดเวลาส่งมอบสิ่งของตามสัญญานี้ ถ้าผู้ขายไม่ส่งมอบสิ่งของที่ตกลงขายให้แก่ผู้ซื้อ หรือส่งมอบสิ่งของทั้งหมดไม่ถูกต้องหรือส่งมอบสิ่งของไม่ครบจำนวน ผู้ซื้อมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ ในกรณีที่ผู้ซื้อใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาผู้ขายยอมให้ผู้ซื้อริบหลักประกัน หรือเรียกร้องจากธนาคารผู้ออกหนังสือค้ำประกันตามสัญญาข้อ 7 เป็นจำนวนเงินทั้งหมด หรือแต่บางส่วนก็ได้แล้วแต่ผู้ซื้อจะเห็นสมควร และถ้าผู้ซื้อจัดซื้อสิ่งของจากบุคคลอื่นเต็มจำนวนหรือเฉพาะจำนวนที่ขาดส่ง แล้วแต่กรณีภายในกำหนด 6 เดือนนับแต่วันที่บอกเลิกสัญญา โดยให้นับวันที่บอกเลิกสัญญาเป็นวันเริ่มต้น ผู้ขายยอมรับผิดชดใช้ราคาที่เพิ่มขึ้นจากราคาที่กำหนดไว้ในสัญญานี้ด้วย และในสัญญาข้อ 9 กำหนดว่า ในกรณีที่ผู้ซื้อไม่ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาตามข้อ 8 ผู้ขายยอมให้ผู้ซื้อปรับเป็นรายวันในอัตราร้อยละ 0.2 ของราคาสิ่งของที่ยังไม่ได้รับมอบนับแต่วันถัดจากวันครบกำหนดตามสัญญา จนถึงวันที่ผู้ขายได้นำสิ่งของมาส่งให้แก่ผู้ซื้อจนถูกต้องครบถ้วน หรือจนถึงวันที่ผู้ซื้อบอกเลิกสัญญา ในระหว่างที่มีการปรับนั้น ถ้าผู้ซื้อเห็นว่าผู้ขายไม่อาจปฏิบัติตามสัญญาต่อไปได้ ผู้ซื้อจะใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาและริบหลักประกัน หรือเรียกร้องจากธนาคารผู้ออกหนังสือค้ำประกันตามสัญญาข้อ 7 กับเรียกร้องให้ชดใช้ราคาที่เพิ่มขึ้นตามที่กำหนดไว้ในสัญญาข้อ 8 วรรคสอง นอกเหนือจากการปรับจนถึงวันบอกเลิกสัญญาด้วยก็ได้ ต่อมาจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาไม่สามารถส่งมอบของให้แก่โจทก์ได้ตามวันและเวลาที่ตกลงกันไว้ โจทก์จึงได้เตือนให้จำเลยที่ 1รีบดำเนินการส่งมอบ และโจทก์สงวนสิทธิที่จะเรียกค่าปรับตามสัญญาด้วยจำเลยได้ขอผ่อนเวลาในการส่งมอบออกไปอีก 30 วัน ครั้นต่อมาเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2526 จำเลยที่ 1 ได้ส่งมอบสิ่งของตามรายการที่ 1 ได้แก่หลอดวิทยุจำนวน 6 หลอด ราคา 900 บาท และโจทก์ได้รับมอบสิ่งของดังกล่าวนั้นไว้โดยสงวนสิทธิที่จะเรียกค่าปรับตามสัญญาต่อไป ส่วนของตามรายการที่ 2 นั้น จำเลยที่ 1 ส่งมอบไม่ถูกต้องตามสัญญา โจทก์จึงไม่รับไว้และส่งคืนให้จำเลยที่ 1 ไปและแจ้งให้จำเลยที่ 1 ส่งมอบใหม่ให้ถูกต้องตามสัญญาและต่อมาเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2527 จำเลยที่ 1 ได้ส่งมอบสิ่งของตามรายการที่ 2 ได้แก่หลอดวิทยุจำนวน 8 หลอด ราคา 25,200 บาทซึ่งขาดจำนวนไป 3 หลอด และโจทก์ได้รับมอบหลอดวิทยุจำนวน 8 หลอดไว้โดยสงวนสิทธิที่จะเรียกค่าปรับตามสัญญาโจทก์รอจนถึงวันที่ 18พฤศจิกายน 2528 จำเลยที่ 1 ก็ไม่ส่งมอบหลอดวิทยุจำนวนที่ยังขาดอีก 3 หลอด โจทก์จึงบอกเลิกสัญญา รวมเบี้ยปรับเป็นเงินจำนวน15,153.30 บาท จำเลยที่ 2 ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1จะต้องรับผิดเต็มจำนวน ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเบี้ยปรับจำนวน 15,153.30 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะชำระหนี้ให้แก่โจทก์เสร็จ
จำเลยทั้งสองให้การว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเบี้ยปรับจำนวน 15,153.30 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเบี้ยปรับตามสัญญาในกรณีที่จำเลยผิดสัญญาส่งมอบสิ่งของหลอดวิทยุให้แก่โจทก์ล่าช้าและส่งมอบสิ่งของบางส่วนไม่ตรงตามที่ตกลงซื้อขายกันอันเป็นการฟ้องเรียกค่าเสียหายที่ตกลงกันไว้ล่วงหน้าในสัญญาเป็นเบี้ยปรับซึ่งมีอายุความสิบปี หาใช่เป็นการฟ้องเพื่อให้รับผิดในการส่งมอบทรัพย์ขาดตกบกพร่องหรือล้ำจำนวนซึ่งมีอายุความหนึ่งปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 467 ไม่ ปรากฎว่านับแต่วันแรกที่โจทก์อาจบังคับสิทธิเรียกร้องถึงวันที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2530 ซึ่งเป็นระยะเวลาภายในกำหนดสิบปี ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ”
พิพากษายืน

Share