แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทำร้ายร่างกายโจทก์ร่วม โจทก์ร่วมแถลงรับว่าเคยถูกโจทก์ฟ้องเป็นจำเลยในมูลคดีเกี่ยวกับคดีนี้ว่าทำร้ายร่างกายจำเลยทั้งสองคดีนี้และศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษโจทก์ร่วม คดีอยู่ระหว่างอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์คดีนี้วินิจฉัยว่าโจทก์ร่วมมิใช่ผู้เสียหายตามกฎหมาย ไม่มีสิทธิขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ดังนี้ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าโจทก์ร่วมยอมรับว่าวิวาททำร้ายร่างกายซึ่งกันและกันกับจำเลยในคดีนี้เมื่อยังไม่ได้ความว่าโจทก์ร่วมวิวาททำร้ายร่างกายกับจำเลย ประกอบกับคดีดังกล่าวยังไม่ถึงที่สุด จึงยังไม่สมควรด่วนวินิจฉัยว่า โจทก์ร่วมมิใช่ผู้เสียหาย ชอบที่ศาลอุทธรณ์จะต้องดำเนินกระบวนพิจารณาเพื่อให้ได้ความชัดในประเด็นนี้ เสียก่อน.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันใช้กำลังทำร้ายร่างกายนางสาวมาลี ผู้เสียหายได้รับอันตรายถึงสาหัส ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297, 83
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ระหว่างการพิจารณา ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ศาลชั้นต้นอนุญาต ต่อมาจำเลยคัดค้านว่า โจทก์ได้ยื่นฟ้องโจทก์ร่วมเป็นจำเลยในข้อหาว่าทำร้ายร่างกายจำเลยทั้งสองคดีนี้ ซึ่งทั้งสองคดีเป็นกรณีเดียวกัน ศาลชั้นต้นได้พิพากษาลงโทษโจทก์ร่วมไปก่อนแล้วศาลชั้นต้นจึงเพิกถอนคำสั่งที่อนุญาตให้ผู้เสียหายเข้าเป็นโจทก์ร่วมเสีย จำเลยทั้งสองจึงขอให้การใหม่เป็นให้การรับสารภาพตามฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297, 83 จำคุกคนละ 6 เดือน จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพมีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกคนละ 4 เดือน จำเลยทั้งสองไม่เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน จึงให้รอการลงโทษจำคุกไว้มีกำหนด 2 ปีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56
โจทก์ร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ร่วมฎีกา
ศาลฎีกาฟังว่า โจทก์ร่วมยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ศาลชั้นต้นอนุญาตต่อมาจำเลยยื่นคำร้องว่าโจทก์ร่วมมิใช่ผู้เสียหายเพราะถูกโจทก์ฟ้องเป็นจำเลยอันเนื่องมาจากมูลกรณีเดียวกับคดีนี้โดยฟ้องว่า โจทก์ร่วมทำร้ายร่างกายจำเลยที่ 1 และศาลชั้นต้นพิพากษาแล้วว่าโจทก์ร่วมมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 391 โจทก์ร่วมจึงมิใช่ผู้เสียหายไม่มีสิทธิขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ในคดีนี้ได้ศาลชั้นต้นสอบถาม โจทก์ร่วมแถลงว่าถูกฟ้องและศาลชั้นต้นพิพากษาไปแล้วตามคำร้องของจำเลยที่ 1 จริง แต่คดีอยู่ระหว่างโจทก์ร่วมอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า โจทก์ร่วมเป็นคู่กรณีเดียวกันกับจำเลยทั้งสองในคดีนี้ในความผิดฐานทำร้ายร่างกาย เป็นการเดียวกันและเหตุเดียวกัน คดีนี้โจทก์ร่วมจึงมิใช่ผู้เสียหายที่จะขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ จึงให้เพิกถอนคำสั่งที่อนุญาตให้เข้าร่วมเป็นโจทก์โดยให้ยกคำร้องของโจทก์ร่วม หลังจากนั้นจำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพตามฟ้อง ศาลชั้นต้นจึงมีคำพิพากษาดังกล่าวแล้ว โจทก์ร่วมอุทธรณ์คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษาว่า ถือว่าโจทก์ร่วมไม่ใช่ผู้เสียหายตามกฎหมายจึงไม่มีสิทธิขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ พิพากษายยืนโจทก์ร่วมฎีกาต่อมา ศาลฎีกาจึงวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้วเห็นว่าตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 7 และ 25 ธันวาคม 2532 ของศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นสอบถามโจทก์ร่วมได้ความเพียงว่า โจทก์ร่วมถูกโจทก์ฟ้องเป็นจำเลยในมูลคดีเดียวกันกับคดีนี้ว่าทำร้ายร่ายกายจำเลยทั้งสองในคดีนี้ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษโจทก์ร่วมแล้ว คดีอยู่ระหว่างอุทธรณ์ ข้อเท็จจริงจึงยังไม่ปรากฏว่าโจทก์ร่วมยอมรับในคดีดังกล่าววิวาททำร้ายร่างกายซึ่งกันและกันกับจำเลยในคดีนี้ โจทก์ร่วมแถลงตอบว่ายังอุทธรณ์อยู่ซึ่งก็ไม่ปรากฏว่าอุทธรณ์ในประเด็นใดเมื่อไม่ปรากฏข้อเท็จจริงดังกล่าวและศาลอุทธรณ์ในคดีที่โจทก์ร่วมถูกฟ้องก็ยังมิได้ชี้ขาดว่าเป็นเรื่องวิวาททำร้ายร่างกายกันจริงหรือไม่และคดียังไม่ถึงที่สุด ประกอบกับคดีในคดีนี้โจทก์ก็บรรยายฟ้องแต่เพียงว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้เสียหายคือโจทก์ร่วมเท่านั้นมิใช่เรื่องโจทก์ร่วมวิวาททำร้ายร่างกายซึ่งกันและกันกับจำเลย ข้อเท็จจริงจึงยังไม่เป็นที่ยุติว่าโจทก์ร่วมวิวาททำร้ายร่างกายกับจำเลย เมื่อไม่ได้ความชัดเช่นนี้ จึงยังไม่สมควรด่วนวินิจฉัยว่าโจทก์ร่วมมิใช่ผู้เสียหายชอบที่ศาลอุทธรณ์จะต้องดำเนินกระบวนพิจารณาเพื่อให้ได้ความชัดในประเด็นนี้เสียก่อน
ปัญหาต่อไปมีว่าควรพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสองหรือไม่เห็นว่าปัญหานี้ศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยว่าจำเลยทั้งสองควรได้รับโทษจำคุกหรือควรรอการลงโทษตามศาลชั้นต้น ซึ่งจะมีผลต่อไปว่าคู่ความจะฎีกาขึ้นมาสู่ศาลฎีกาได้หรือไม่ ศาลฎีกาจึงไม่ก้าวล่วงไปวินิจฉัย ชอบที่ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยและมีคำพิพากษาในปัญหานี้เสียก่อน หากฟังว่าโจทก์ร่วมเป็นผู้เสียหายและมีสิทธิอุทธรณ์”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลอุทธรณ์ดำเนินกระบวนพิจารณาและพิพากษาในปัญหาทั้งสองประการดังกล่าวข้างต้นแล้วมีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี.