แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้จำเลยจะโกรธผู้ตายที่ไล่จำเลยออกจากบ้าน แต่จำเลยออกไปจากบ้านประมาณ 2 ถึง 3 วัน จำเลยจะกลับมาอยู่กับผู้ตายทุกครั้ง ก่อนเกิดเหตุผู้ตายไล่จำเลยออกจากบ้านและจำเลยกลับมาหาผู้ตาย เชื่อว่าเรื่องที่จำเลยถูกผู้ตายไล่ออกจากบ้านไม่ใช่สาเหตุสำคัญที่จำเลยอาฆาตแค้นผู้ตายถึงขั้นตระเตรียมอาวุธไปฆ่าผู้ตาย ทั้งมีดของกลางเป็นเพียงเครื่องใช้ทางการเกษตรที่จำเลยมีไว้ใช้ในการถางหญ้าและตัดอ้อย การที่จำเลยนำมีดของกลางติดตัวมาด้วยจึงไม่อาจฟังว่าตระเตรียมมาเป็นอาวุธฆ่าผู้ตาย ส่วนที่จำเลยรอจังหวะให้ไฟฟ้าในบ้านปิดแล้วมุดลอดสังกะสีบ้านเข้าไปหาผู้ตาย ก็อาจเป็นเพราะบุตรผู้ตายใช้กุญแจคล้องประตูด้านในไว้ ทำให้จำเลยเข้าบ้านไม่ได้ประกอบกับจำเลยอาจไม่ต้องการให้คนในบ้านซึ่งนอนหลับอยู่ทราบว่าจำเลยแอบกลับมาหาผู้ตาย ผู้ตายจึงให้จำเลยลอดเข้าไปหาดังที่จำเลยแก้ฎีกาก็เป็นได้ นอกจากนี้ได้ความว่าจำเลยคุยกับผู้ตายระยะหนึ่ง เมื่อบุตรของผู้ตายตื่นขึ้นมาเปิดไฟฟ้าแล้วเห็นจำเลยอยู่กับผู้ตาย ก็มีเสียงผู้ตายร้องห้ามบุตรของผู้ตายและผู้ตายกอดด้านหน้าจำเลยไว้ เมื่อผู้ตายปล่อยมือ จำเลยและบุตรของผู้ตายจ้องหน้ากัน หลังจากนั้นบุตรของผู้ตายวิ่งออกจากบ้าน จำเลยจึงใช้มีดฟันผู้ตายแล้ววิ่งหนีไป แสดงว่าก่อนที่บุตรผู้ตายจะวิ่งออกไปตามญาติมาไล่จำเลย จำเลยยังไม่มีความคิดที่จะฆ่าผู้ตายดังที่เคยพูดอาฆาตไว้ เชื่อว่าเหตุที่บุตรของผู้ตายวิ่งออกไปตามญาติเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้จำเลยลงมือฆ่าผู้ตายโดยใช้มีดของกลางฟันผู้ตายทันทีหลายครั้งด้วยอารมณ์โกรธเพียงชั่ววูบ การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการไตร่ตรองไว้ก่อน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฏหมายอาญามาตรา 33, 288, 289 (4) ริบมีดพร้าของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพฐานฆ่าผู้อื่น แต่ปฏิเสธว่าไม่ได้กระทำโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4) วางโทษประหารชีวิต คำให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนและชั้นพิจารณาเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 52 (1) หนึ่งในสาม คงจำคุกตลอดชีวิต ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ให้จำคุกตลอดชีวิต จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาของศาล มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 53 ให้จำคุก 25 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อนหรือไม่ ปัญหานี้โจทก์ฎีกาว่าแม้จะฟังว่าจำเลยกับผู้ตายคุยกันก่อนที่จำเลยจะลงมือฆ่าผู้ตาย แต่การที่จำเลยถือมีดพร้าของกลางซึ่งเป็นมีดขนาดใหญ่ติดตัวและรอจังหวะให้ไฟฟ้าภายในบ้านเกิดเหตุปิด จากนั้นจำเลยงัดสังกะสีฝาบ้านเข้าไปฟันผู้ตายหลายครั้ง แสดงว่าไตร่ตรองไว้ล่วงหน้าว่าจะใช้มีดฟันผู้ตายเพราะโกรธแค้นที่ผู้ตายด่าและไล่จำเลยออกจากบ้านตามที่จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวน การกระทำของจำเลยจึงมิใช่เป็นความผิดฐานฆ่าผู้อื่นตามประมวลกฏหมายอาญา มาตรา 288 แต่เป็นความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนตามมาตรา 289 (4) ตามฟ้อง เห็นว่า แม้ก่อนเกิดเหตุประมาณ 2 ถึง 3 วันจำเลยจะโกรธผู้ตายที่ไล่จำเลยออกจากบ้านโดยจำเลยนำมีดพร้าของกลางติดตัวไปด้วยก็ตาม แต่จะแปลความว่าจำเลยคิดจะฆ่าผู้ตายตลอดเวลาไม่ได้ เพราะได้ความจากพยานโจทก์ปากนายแสงสุรีย์และนางสาวอรทัยว่า จำเลยทะเลาะกับผู้ตายบ่อยเพราะหึงหวงไม่พอใจที่สามีเก่าของผู้ตายไปหาผู้ตายที่บ้าน ผู้ตายเคยขอเลิกกับจำเลยและไล่จำเลยออกไปจากบ้านแต่ประมาณ 2 ถึง 3 วันจำเลยจะกลับมาอยู่กับผู้ตายทุกครั้ง ศาลฎีกาคำนวณระยะเวลานับแต่วันที่สามีเก่าของผู้ตายไปหาผู้ตายครั้งสุดท้ายถึงวันที่จำเลยกลับมาหาผู้ตายในวันเกิดเหตุ เป็นระยะเวลาประมาณ 2 ถึง 3 วันเช่นกัน เชื่อว่าเรื่องจำเลยถูกผู้ตายไล่ออกจากบ้านไม่ใช่สาเหตุสำคัญที่จำเลยอาฆาตแค้นผู้ตายถึงขั้นตระเตรียมอาวุธไปฆ่าผู้ตาย อีกทั้งนายแสงสุรีย์เบิกความรับว่ามีดพร้าของกลางเป็นเพียงเครื่องใช้ทางเกษตรกรรมที่จำเลยมีไว้ใช้ประจำในการถางหญ้าและตัดอ้อย การที่จำเลยนำมีดพร้าของกลางติดตัวมาบ้านจึงมิใช่เป็นข้อพิรุธที่จะฟังว่าจำเลยตระเตรียมมีดพร้าของกลางเป็นอาวุธฆ่าผู้ตาย ส่วนที่จำเลยรอจังหวะให้ไฟฟ้าในบ้านปิดแล้วจึงมุดลอดสังกะสีฝาบ้านเข้าไปหาผู้ตาย ก็อาจเป็นเพราะนายแสงสุรีย์ใช้กุญแจคล้องกลอนประตูด้านในไว้ ทำให้จำเลยเข้าบ้านไม่ได้ ประกอบจำเลยอาจไม่ต้องการให้คนในบ้านซึ่งนอนหลับอยู่ทราบว่าจำเลยแอบกลับไปหาผู้ตาย ผู้ตายให้จำเลยลอดเข้าหาผู้ตายทางสังกะสีฝาบ้านด้านที่ผู้ตายนอนอยู่ดังที่จำเลยแก้ฎีกาก็เป็นได้ เพราะนางสาวอรทัยเบิกความยืนยันว่าก่อนเสียงสังกะสีดัง พยานได้ยินจำเลยกับผู้ตายคุยกันประมาณ 2 นาทีเป็นเสียงพูดคุยกันธรรมดา หลังจากจำเลยเข้ามาในบ้านแล้วก็ยังคุยกับผู้ตายอีกประมาณ 5 นาที นายแสงสุรีย์จึงตื่นขึ้นมาเปิดไฟฟ้าแล้วเห็นจำเลยอยู่กับผู้ตาย นางสาวอรทัยเบิกความถึงเหตุการณ์ตอนนี้ต่อไปว่า ขณะนั้นพยานยังนั่งอยู่ที่นอน พยานได้ยินเสียงผู้ตายร้องห้ามนายแสงสุรีย์ซึ่งมีชื่อเล่น “กี้” ว่า “อย่ากี้ อย่ากี้” พยานจึงเดินไปดูก็เห็นผู้ตายกอดด้านหน้าจำเลยไว้ และเมื่อผู้ตายปล่อยมือออก จำเลยกับนายแสงสุรีย์ยืนจ้องหน้ากัน นายแสงสุรีย์ถามว่า “เข้ามาทำไม มันไม่ดี” จำเลยตอบว่า “เข้ามาหาแม่เฉย ๆ” นายแสงสุรีย์จึงวิ่งออกไปจากบ้าน เมื่อพยานหันกลับมาก็เห็นจำเลยใช้มีดพร้าฟันผู้ตายแล้ววิ่งหนีไป แสดงว่าก่อนนายแสงสุรีย์จะวิ่งออกไปตามญาติ จำเลยยังไม่มีความคิดจะฆ่าผู้ตายและนายแสงสุรีย์ดังที่เคยพูดอาฆาตให้นายสมชาย พยานโจทก์ได้ยินเพราะจำเลยเพิ่งจะลงมือฟันผู้ตายเมื่อเห็นนายแสงสุรีย์วิ่งออกไปตามญาติมาไล่จำเลย เชื่อว่าเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้จำเลยลงมือฆ่าผู้ตายโดยใช้มีดพร้าของกลางฟันผู้ตายทันทีหลายครั้งด้วยอารมณ์โกรธเพียงชั่ววูบจึงไม่เป็นการไตร่ตรองไว้ก่อน ทั้งเมื่อศาลตรวจดูคำให้การในชั้นสอบสวนของจำเลยแล้ว แม้จำเลยให้การรับสารภาพว่ากระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนตามที่พนักงานสอบสวนกล่าวหา แต่จำเลยได้ให้การเล่ารายละเอียดว่าจำเลยแค้นมาก ออกจากบ้านผู้ตายไปอยู่กับพ่อตาเก่า เมื่อถึงวันเกิดเหตุจำเลยได้เอามีดโต้ซึ่งเป็นมีดตัดอ้อยของจำเลยถือติดตัวแล้วแอบอยู่ข้างบ้านผู้ตาย กระทั่งเวลาประมาณ 21 นาฬิกาในบ้านปิดไฟฟ้า จำเลยจึงมุดลอดสังกะสีฝาบ้านเข้าไป ผู้ตายลุกขึ้นมาหาจำเลยแต่ขณะจำเลยพูดกับผู้ตาย บุตรชายจำเลยตื่นขึ้นเปิดไฟฟ้าในบ้านจะเข้ามาทำร้ายจำเลย ผู้ตายเข้ากอดจำเลยไว้ จำเลยสะบัดหลุด บุตรของผู้ตายวิ่งออกนอกบ้านไปตามชาวบ้าน จำเลยจึงใช้มีดโต้ที่ถือฟันผู้ตาย 3 ครั้ง แล้ววิ่งหนีออกจากบ้านไป เห็นได้ชัดเจนว่าคำให้การดังกล่าวไม่มีข้อความตอนใดที่แสดงว่าจำเลยคิดและตกลงใจจะฆ่าผู้ตายก่อนล่วงหน้า และเชื่อว่าจำเลยให้การตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น เพราะสอดคล้องกับคำเบิกความของนางสาวอรทัยดังวินิจฉัยข้างต้นแล้ว พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบจึงยังไม่เพียงพอให้รับฟังว่า จำเลยฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ลงโทษจำเลยฐานฆ่าผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน