คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3888/2528

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 3, ที่ 4 ร่วมกับพวกอีกหลายคนทำการหน่วงเหนี่ยวกักขัง และบังคับขู่เข็ญผู้เสียหายทั้งสี่ให้ค้าประเวณี ย่อมเป็นความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 310วรรคแรกกระทงหนึ่งและผิดตาม มาตรา 283 วรรคแรก อีกกระทงหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องว่า จำเลยทั้งเจ็ดกับพวกที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้องอีก 3 คนได้กระทำผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือ ก. จำเลยทั้งเจ็ดกับพวกที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้องอีก 3 คน เพื่อให้สำเร็จความใคร่ของผู้อื่นบังอาจสมคบกันเป็นธุระจัดหา ล่อไป ชักพาไป เพื่อการอนาจารซึ่งนางน้อย ตังหงษ์ นางสาวอุทัยยามโสภา นางสาวอารีวัลย์ วงศ์ดำ และนางนวลจันทร์ ปัตวงศ์ ผู้เสียหายโดยนายเสถียร หอมรส และนายบัญชา ศรีกาญจน์ พวกจำเลยที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้องได้ใช้อุบายหลอกลวงว่าจะพาไปทำงานที่ร้านขายอาหารจังหวัดภูเก็ต แต่นายเสถียรหอมรส และนายบัญชา ศรีกาญจน์ กลับพาผู้เสียหายทั้งสี่มามอบแก่จำเลยที่ 1ถึงที่ 7 ควบคุมตัวไว้ เพื่อให้ผู้เสียหายทั้งสี่รับจ้างค้ำประเวณี โดยจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7ร่วมกันขู่เข็ญ ใช้อำนาจครอบงำผิดคลองธรรม ข่มขืนใจผู้เสียหายให้ร่วมประเวณีกับชายอื่นเพื่อสินจ้าง ทั้งนี้โดยจำเลยทั้งเจ็ดกับพวกที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้องได้ร่วมรับค่าจ้างร่วมประเวณีจากชายอื่นที่มาร่วมประเวณีกับนางน้อย ตังหงษ์ นางสาวอุทัยยามโสภา นางสาวอารีวัลย์ วงศ์ดำ และนางนวลจันทร์ ปัตวงศ์ และ ข. จำเลยทั้งเจ็ดกับพวกที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้องอีก 3 คน ได้หน่วงเหนี่ยว กักขัง นางน้อย ตังหงษ์นางสาวอุทัย ยามโสภา นางสาวอารีวัลย์ วงศ์ดำ และนางนวลจันทร์ ปัตวงศ์ไว้ในห้องใส่กุญแจไว้ ทำให้พวกผู้เสียหายทั้งสี่ปราศจากเสรีภาพในร่างกาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 310, 283, 284, 83 ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2514 ข้อ 10และนับโทษจำเลยที่ 3 ต่อจากโจทก์ในคดีอื่น
จำเลยทั้งเจ็ดให้การปฏิเสธ จำเลยที่ 3 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งเจ็ดมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 283 วรรคแรก, 310 วรรคแรก, 83, 91 ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2514 ข้อ 10 ลงโทษจำคุก นับโทษจำเลยที่ 3 ต่อจากโทษในคดีอื่น
จำเลยทั้งเจ็ดอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 6 ที่ 7นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ 6, ที่ 7 ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 3 และที่ 4 ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่าการกระทำของจำเลยที่ 3 ที่ 4ตามที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์รับฟังเป็นยุตินั้นยังไม่เป็นความผิดตามบทมาตราที่โจทก์ฟ้อง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 3 ที่ 4 ในปัญหาข้อกฎหมายว่าการกระทำของจำเลยที่ 3 ที่ 4 ตามที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์รับฟังเป็นยุตินั้นเป็นความผิดตามบทมาตราที่โจทก์ฟ้องหรือไม่ ปรากฏว่าศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้จำคุกจำเลยที่ 3 ที่ 4 รวม 2 กระทง แต่ละกระทงไม่เกิน 5 ปี จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ดังนั้น ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายศาลจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน คดีนี้ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงตามคำพยานหลักฐานในสำนวนว่าจำเลยที่ 3 ที่ 4ได้ร่วมกับพวกอีกหลายคนทำการหน่วงเหนี่ยวกักขังและบังคับขู่เข็ญผู้เสียหายทั้งสี่ให้ค้าประเวณี ดังนั้น การกระทำของจำเลยที่ 3 ที่ 4 จึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 310 วรรคแรก กระทงหนึ่ง และผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 283 วรรคแรก อีกกระทงหนึ่ง ซึ่งบทมาตราดังกล่าวก็เป็นบทมาตราที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยตามฟ้อง ฉะนั้น ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 3 ที่ 4 ตามบทมาตราดังกล่าวจึงเป็นการถูกต้องตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์และตรงตามตัวบทกฎหมายทุกประการแล้ว
พิพากษายืน

Share