คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3870/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

การที่จำเลยออกเช็คฉบับแรกให้โจทก์เพื่อชำระเงินกู้ยืมต่อมาจำเลยได้ออกเช็คฉบับที่สองและฉบับที่สามเพื่อชำระหนี้แทนเช็คฉบับแรกและฉบับที่สองซึ่งเรียกเก็บเงินไม่ได้ตามลำดับถือได้ว่า เป็นการชำระหนี้อย่างอื่นแทนการชำระหนี้ที่ได้ตกลงกันไว้ โดยการชำระหนี้ด้วยตั๋วเงินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 321 หนี้เดิมตามเช็คฉบับแรกจะระงับก็ต่อเมื่อมีการใช้เงินตามเช็คฉบับที่สองหรือฉบับที่สามแล้ว จำเลยที่ 3 และที่ 4 ซึ่งเป็นผู้สลักหลังเช็คต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 ผู้ออกเช็ครับผิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นผู้ทรงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 967 เมื่อหนี้ตามเช็คระงับไปแล้วแม้จำเลยที่ 3 แต่ผู้เดียวฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่ 1 และที่ 4 ด้วย เพราะเป็นคำพิพากษาเกี่ยวด้วยการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกันออกเช็คให้โจทก์เพื่อชำระหนี้รวม 3 ฉบับ มีจำเลยที่ 3 ที่ 4 ลงลายมือชื่อสลักหลังค้ำประกันเช็คฉบับแรก เมื่อเช็คถึงกำหนด ธนาคารตามเช็คทั้งสามฉบับปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์ทวงถามแล้ว จำเลยเพิกเฉย ขอให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกันชำระเงินตามเช็คทั้งสามฉบับพร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินโดยให้จำเลยที่ 3 ที่ 4 ร่วมกันชำระเงินตามเช็คฉบับแรกจำนวน30,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินแก่โจทก์ จำเลยที่ 3 ให้การว่า จำเลยที่ 3สลักหลังเช็คฉบับแรก แต่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ออกเช็คฉบับที่สองให้โจทก์เพื่อแลกเช็คฉบับแรกคืนจากโจทก์ แต่โจทก์ไม่คืนให้ต่อมาจำเลยที่ 1 ที่ 2 ออกเช็คฉบับที่สามแลกเช็คฉบับที่สองคืนจากโจทก์อีก โจทก์รับเช็คฉบับที่สามแล้วไม่ยอมคืนเช็คฉบับที่สองให้เมื่อจำเลยที่ 1 ที่ 2 ออกเช็คฉบับที่สองชำระหนี้แทนเช็คฉบับแรกแล้ว จำเลยที่ 3 จึงไม่มีความผูกพันต้องชำระหนี้ให้โจทก์ ขอให้ยกฟ้อง จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 ร่วมกันชำระเงินจำนวน 30,000 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2526 ให้แก่โจทก์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงตามที่โจทก์จำเลยนำสืบได้ความว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด จำเลยที่ 2เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2ได้ออกเช็คในนามจำเลยที่ 1 ให้โจทก์ 3 ฉบับ ฉบับแรกเป็นเช็คธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขาพลับพลาไชย ลงวันที่ 15 กุมภาพันธ์2526 จำนวนเงิน 30,000 บาท มีจำเลยที่ 3 ที่ 4 สลักหลังเช็คดังกล่าว ฉบับที่สองเป็นเช็คธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขาพลับพลาไชยลงวันที่ 15 มีนาคม 2526 จำนวนเงิน 31,500 บาท ฉบับที่สามเป็นเช็คธนาคารกรุงไทย จำกัด สาขาเยาวราช ลงวันที่ 15มิถุนายน 2526 จำนวนเงิน 37,800 บาท เช็คทั้งสามฉบับโจทก์เรียกเก็บเงินไม่ได้ คงมีปัญหาในชั้นฎีกาว่า จำเลยที่ 3 ต้องรับผิดตามเช็คฉบับแรกหรือไม่ โจทก์นำสืบว่าเช็คทั้งสามฉบับไม่เกี่ยวข้องกัน จำเลยที่ 1 ที่ 2 ออกเช็คดังกล่าวเพื่อชำระหนี้เงินกู้ยืมต่างรายกัน เมื่อจำเลยที่ 1 ที่ 2 ออกเช็คฉบับที่สองก็ไม่ได้ขอเช็คฉบับแรกคืน และเมื่อออกเช็คฉบับที่สาม ก็ไม่ได้ขอเช็คฉบับที่สองคืน จำนวนเงินที่แตกต่างในเช็คแต่ละฉบับไม่ใช่ดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น จำเลยที่ 3 นำสืบว่า เมื่อเช็คฉบับแรกถึงกำหนดและธนาคารได้ปฏิเสธการจ่ายเงิน จำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้ออกเช็คฉบับที่สองจำนวนเงิน 30,000 บาท รวมดอกเบี้ย 1,500 บาท เป็น31,500 บาท ให้จำเลยที่ 3 ที่ 4 ไปมอบแก่โจทก์ เมื่อเช็คฉบับที่สองถูกธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน จำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้ออกเช็คฉบับที่สามจำนวนเงิน 37,800 บาทให้แก่โจทก์ซึ่งรวมดอกเบี้ยทั้งหมดเป็นเงิน 7,800 บาท เข้าไว้ด้วย เมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คฉบับที่สาม โจทก์ได้ฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 2เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2526 เป็นคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 14236/2526ของศาลอาญา จำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้ตกลงชำระหนี้ให้โจทก์เป็นเงินต้น 30,000 บาท และดอกเบี้ย 10,700 บาท โจทก์จึงได้ถอนฟ้องคดีอาญาดังกล่าว เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2527 และจะถอนฟ้องคดีนี้ด้วย แต่ต่อมาโจทก์ไม่ยอมถอนฟ้องอ้างว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2ชำระดอกเบี้ยขาดอยู่ 10,000 บาท ที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ไม่ได้ขอเช็คฉบับแรกและฉบับที่สองคืนเพราะเชื่อว่า จำเลยที่ 3 ที่ 4ซึ่งรู้จักโจทก์ติดต่อเอาคืนได้ จำเลยที่ 1 ที่ 2 ไม่รู้จักโจทก์มาก่อน
พิเคราะห์แล้ว มีปัญหาตามฎีกาของจำเลยที่ 3 ว่า เช็คฉบับแรก ฉบับที่สอง และฉบับที่สามเป็นเช็คสืบเนื่องจากหนี้อันเดียวกัน หรือว่าเป็นหนี้ต่างรายดังโจทก์บรรยายฟ้องมา ปัญหานี้จำเลยที่ 3 เบิกความว่า เมื่อเช็คฉบับแรกขึ้นเงินไม่ได้ โจทก์ติดต่อจำเลยที่ 4 ให้เปลี่ยนเช็ค จำเลยที่ 4 ติดต่อจำเลยที่ 3จำเลยที่ 3 จึงติดต่อกับจำเลยที่ 2 ให้ออกเช็คใหม่ คือเช็คฉบับที่สองเป็นเงิน 31,500 บาท และมอบให้จำเลยที่ 4 ไปมอบให้โจทก์ จำเลยที่ 4 ว่า จะติดต่อขอเช็คฉบับเดิมคืน แต่จำเลยที่ 3 ก็ไม่ได้ติดตามผล เมื่อเช็คฉบับที่สองถูกธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน จำเลยที่ 4 ได้ติดต่อขอเช็คจากจำเลยที่ 2 มาให้โจทก์เป็นฉบับที่สาม เมื่อเช็คฉบับที่สามถูกธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินโจทก์ได้ฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 2 เป็นคดีอาญา จำเลยที่ 1 ที่ 2ได้จ่ายเงินให้โจทก์ 40,000 บาทเศษ โจทก์ได้ถอนฟ้องคดีอาญาไปและรับว่าจะถอนฟ้องคดีนี้ จำเลยที่ 2 เบิกความเป็นพยานจำเลยที่ 3 ว่า จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นกรรมการได้ยืมเงินโจทก์ 30,000 บาท ผ่านทางจำเลยที่ 3 ที่ 4 เพราะจำเลยที่ 2ไม่รู้จักโจทก์ จำเลยที่ 3 ที่ 4 จึงสลักหลังเช็คฉบับแรก เมื่อเช็คฉบับแรกถูกธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์ติดต่อจำเลยที่ 3ที่ 4 ให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ออกเช็คใหม่เป็นฉบับที่สองโดยโจทก์คิดดอกเบี้ย 1,500 บาท โจทก์ไม่ได้คืนเช็คฉบับแรกโดยอ้างว่าเช็คฉบับที่สองขึ้นเงินได้แล้ว จึงจะคืนเช็คฉบับแรก เมื่อเช็คฉบับที่สองขึ้นเงินไม่ได้ โจทก์ให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ออกเช็คฉบับที่สามโดยคิดดอกเบี้ยรวม 7,000 บาทเศษเพื่อแลกเปลี่ยนกับเช็คฉบับที่สอง โจทก์ไม่คืนเช็คฉบับแรกและฉบับที่สองให้ ต่อมาเช็คฉบับที่สามเรียกเก็บเงินไม่ได้ โจทก์จึงฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 2ให้รับผิดทางอาญาในการออกเช็คฉบับที่สองและฉบับที่สามจำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้ชำระเงินให้โจทก์ 30,000 บาท และดอกเบี้ย10,700 บาท โจทก์จึงถอนฟ้องตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 14276/2526ของศาลอาญาและโจทก์รับว่าจะถอนฟ้องคดีนี้ด้วย ฝ่ายโจทก์มีตัวโจทก์เบิกความเพียงคนเดียวว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 ออกเช็คทั้งสามฉบับเพื่อชำระหนี้เงินกู้ต่างรายกัน เห็นว่า โจทก์กับจำเลยที่ 1 ที่ 2 ไม่รู้จักคุ้นเคยกัน เมื่อเช็คฉบับแรกขึ้นเงินไม่ได้ โจทก์ก็ไม่น่าที่จะให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 กู้เงินตามเช็คฉบับที่สองและฉบับที่สามอีกต่อไป จำนวนเงินตามเช็คฉบับที่สองที่สามที่โจทก์ฟ้องเป็นคดีอาญาดังกล่าวรวมเป็นเงิน 69,300 บาทแต่โจทก์ยอมรับเพียง 40,700 บาท แล้วตกลงถอนฟ้อง ก็ทำให้น่าเชื่อว่า จำนวนเงินที่โจทก์ให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 กู้ยืมไปจริงคงไม่เกิน 30,000 บาท มิฉะนั้นแล้วโจทก์คงไม่ยอมรับเงินน้อยกว่าจำนวนเงินในเช็ค ทั้งตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่17 เมษายน 2527 โจทก์ก็รับว่าจำเลยที่ 2 ได้ชำระเงินให้แก่โจทก์บางส่วนแล้ว ยังขาดอยู่เฉพาะดอกเบี้ยบางส่วนเท่านั้นซึ่งแสดงให้เห็นว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 กู้ยืมเงินจากโจทก์ไม่ถึง99,300 บาท ดังโจทก์ฟ้อง จึงเชื่อว่าโจทก์ให้จำเลยที่ 1 ที่ 2กู้ยืมเงินเพียง 30,000 บาท และจำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้ออกเช็คฉบับแรกเพื่อชำระเงินกู้ยืมดังกล่าว ต่อมาจำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้ออกเช็คฉบับที่สองและที่สามเพื่อชำระหนี้แทนเช็คฉบับแรกและฉบับที่สองซึ่งเรียกเก็บเงินไม่ได้ตามลำดับ ซึ่งถือได้ว่า เป็นการชำระหนี้อย่างอื่นแทนการชำระหนี้ที่ได้ตกลงกันไว้ โดยการชำระหนี้ด้วยตั๋วเงินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 321หนี้เดิมตามเช็คฉบับแรกจะระงับก็ต่อเมื่อมีการใช้เงินตามเช็คฉบับที่สอง หรือที่สามแล้ว เมื่อโจทก์แก้ฎีการับว่าได้รับเงินตามเช็คฉบับที่สองและฉบับที่สามและหนี้ตามเช็คดังกล่าวระงับไปแล้ว คงติดใจจะบังคับชำระหนี้จากเช็คฉบับแรกเท่านั้นย่อมแสดงว่ามีการใช้เงินตามเช็คฉบับที่สองและฉบับที่สาม ซึ่งจำเลยที่ 1 ที่ 2 ออกให้แก่โจทก์แทนเช็คฉบับแรกไปแล้ว หนี้ตามเช็คฉบับแรกย่อมระงับไป ดังนั้น โจทก์จะเรียกร้องให้จำเลยทั้งสี่ชำระเงินตามเช็คฉบับแรกอีกไม่ได้ คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาจำเลยที่ 3 ฟังขึ้นและโดยเหตุที่จำเลยที่ 3 และที่ 4 ซึ่งเป็นผู้สลักหลังเช็คต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นผู้ทรงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 967 เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า หนี้ตามเช็คฉบับแรกระงับไปแล้ว แม้จำเลยที่ 3 แต่ผู้เดียวฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่ 1 และที่ 4ด้วย เพราะเป็นคำพิพากษาเกี่ยวด้วยการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ที่ 3และที่ 4 ด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share