แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ชั้นชี้สองสถาน คู่ความต่างแถลงสละข้ออ้างข้อต่อสู้อื่น ขอให้ศาลวินิจฉัยเฉพาะประเด็นที่ว่า โจทก์ซื้อที่พิพาทจากจำเลยในราคา 4,000 บาท หรือไม่ และเรื่องอายุความศาลชั้นต้นฟังว่าโจทก์ไม่ได้ซื้อที่พิพาทจากจำเลย แต่อยู่ในที่พิพาทโดยอาศัยจำเลย พิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ต่อมาโจทก์ฎีกาโต้เถียงว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์โดยจำเลยยกให้โจทก์และภรรยา ซึ่งโจทก์และภรรยาได้ครอบครองที่พิพาทตลอดมากับฎีกาว่าที่โจทก์ให้เงินจำเลย 4,000 บาทนั้น ไม่ใช่เรื่องซื้อขาย ดังนี้ ฎีกาข้อแรกเป็นการฎีกาในประเด็นที่สละแล้ว และฎีกาข้อหลังเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้น ว่ากันมาในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยเป็นเจ้าของที่ดินตาม น.ส.3 ก.เลขที่ 2167 เนื้อที่ 16 ไร่เศษ เมื่อ 10 ปีมาแล้วโจทก์สมรสกับนางฉลอมบุตรจำเลย จำเลยยกที่ดินแปลงดังกล่าวทางด้านทิศตะวันตกให้โจทก์กับนางฉลอมเป็นเนื้อที่ประมาณ 3 ไร่ โจทก์ปลูกเรือนและฝังหลักเขตเป็นส่วนสัดกับครอบครองตลอดมา ต่อมาจำเลยขอรับหนังสือรับรองการทำประโยชน์รวมเอาที่ดินส่วนของโจทก์เข้าไปด้วย โจทก์สอบถามจำเลยตอบว่า ถ้าเอาเงินให้จำเลย 4,000 บาท จำเลยจะไปแยกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้โจทก์ โจทก์จึงนำเงิน 4,000 บาทไปมอบให้จำเลยแต่จำเลยก็ผัดผ่อนและเพิกเฉยไม่แบ่งแยกให้ โจทก์จึงฟ้องขอแบ่งที่ดินรายนี้
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การว่า โจทก์สมรสกับนางฉลอมบุตรจำเลยจริงเพราะโจทก์ลักพาไป จำเลยไม่ได้ยกที่ดินตามฟ้องให้โจทก์ นางฉลอมถูกโจทก์ทอดทิ้ง จำเลยจึงปลูกเรือนให้นางฉลอมอาศัยอยู่กับบุตร หากโจทก์ชำระเงินค่าที่ดินให้จำเลย จำเลยก็ยังครอบครองที่ดินอย่างเป็นเจ้าของ เป็นปฏิปักษ์ต่อสิทธิครอบครองของโจทก์
ในวันชี้สองสถาน คู่ความทั้งสองฝ่ายต่างแถลงขอสละข้ออ้างข้อต่อสู้อื่นขอให้ศาลวินิจฉัยเฉพาะประเด็นว่า (1) โจทก์ซื้อที่พิพาทจากจำเลยในราคา4,000 บาทหรือไม่ (2) อายุความ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว วินิจฉัยว่า โจทก์ไม่ได้ซื้อที่พิพาทจากจำเลยและโจทก์อยู่ในที่พิพาทโดยอาศัยจำเลย พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงเช่นเดียวกับศาลชั้นต้นว่า โจทก์ไม่ได้ซื้อที่พิพาทจากจำเลย โจทก์และภรรยาอยู่ในที่พิพาทโดยอาศัยสิทธิของจำเลยพิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ฎีกาพอสรุปได้ว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์โดยจำเลยซึ่งเป็นพ่อตายกให้โจทก์และภรรยา โจทก์และภรรยาร่วมกันครอบครองโดยสงบเปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมาเกิน 1 ปีแล้ว ทั้งจำเลยมิได้ให้การปฏิเสธว่าจำเลยมิได้ยกที่พิพาทให้ภรรยาโจทก์คงปฏิเสธแต่ว่าไม่ได้ยกให้โจทก์เท่ากับยอมรับว่าจำเลยยกที่พิพาทให้ภรรยาโจทก์ ตามฎีกาโจทก์ดังกล่าวนี้เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงในประเด็นข้อที่ว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์โดยจำเลยยกให้โจทก์และภรรยา ซึ่งโจทก์และภรรยาได้ครอบครองตลอดมาประเด็นนี้ทั้งสองฝ่ายต่างแถลงสละแล้วในชั้นชี้สองสถาน ดังปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้น ส่วนประเด็นที่ศาลกำหนดไว้ว่าโจทก์ซื้อที่พิพาทจากจำเลยในราคา 4,000 บาทหรือไม่นั้น โจทก์ไม่ฎีกาคัดค้านแต่อย่างใด กลับฎีกายอมรับว่าที่โจทก์ให้เงินจำเลย 4,000 บาทนั้นไม่ใช่เรื่องซื้อขาย ดังนี้ จึงถือได้ว่าฎีกาข้อแรกของโจทก์เป็นฎีกาโต้เถียงในประเด็นที่คู่ความสละแล้ว และฎีกาข้อหลังเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์เป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 6)พ.ศ. 2518 มาตรา 7 ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกฎีกาโจทก์