แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างชั่วคราวตำแหน่งเจ้าหน้าที่พิสูจน์สอบสวนการทำประโยชน์ จำเลยที่ 2 เป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน จำเลยทั้งสองได้รับคำสั่งแต่งตั้งจากนายอำเภอให้เป็นเจ้าหน้าที่ออกไปพิสูจน์สอบสวนการทำประโยชน์เพื่อออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3ก) ตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 58 จำเลยทั้งสองจึงเป็นเจ้าพนักงานตาม ประมวลกฎหมายอาญา
จำเลยทั้งสองเรียกเอาเงินจากผู้เสียหายหลายคนแต่ละวันการกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นความผิดหลายกรรม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างชั่วคราวตำแหน่งเจ้าหน้าที่พิสูจน์สอบสวนการทำประโยชน์ จำเลยที่ 2 เป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านและได้รับมอบอำนาจให้ทำการแทนเจ้าพนักงานปกครองท้องที่จากนายอำเภอ มีหน้าที่ไปร่วมพิสูจน์สอบสวนสิทธิในที่ดินกับจำเลยที่ 1 เพื่อออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก) ในการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยทั้งสองดังกล่าว จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันเรียกรับเงินจากผู้เสียหายจำนวน37 คน รวมเป็นเงิน 4,245 บาท ไว้เพื่อประโยชน์สำหรับจำเลยทั้งสองเพื่อกระทำการในหน้าที่โดยมิชอบ ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149, 157, 83
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 ไม่เป็นเจ้าพนักงาน ส่วนจำเลยที่ 2มีหน้าที่เพียงระวังดูแลมิให้พนักงานรังวัดรังวัดที่ดินทับที่สาธารณะเท่านั้นไม่มีหน้าที่ในการพิสูจน์สอบสวนการทำประโยชน์เพื่อออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงไม่เป็นความผิด พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายและมีหน้าที่ในการนั้น ฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองเรียกรับเงินจากผู้เสียหายที่มารังวัดที่ดินเพื่อออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์รวม 35 ราย การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 และเป็นความผิดหลายกรรมพิพากษากลับให้จำคุกจำเลยทั้งสองโดยเรียงกระทงลงโทษรวม 11 กระทงกระทงละ 5 ปี รวมโทษจำคุกคนละ 55 ปี
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สำหรับปัญหาว่าจำเลยทั้งสองเป็นเจ้าพนักงานหรือไม่ได้ความจากนายอรรถพลพยานโจทก์ซึ่งเคยรับราชการเป็นพนักงานที่ดิน อำเภอราษีไศล จังหวัดศรีสะเกษ ประกอบคำสั่งอำเภอราษีไศลที่ 175/2519 ลงวันที่ 15 ธันวาคม 2519 เอกสารหมาย ป.จ.1 ว่า นายอำเภอราษีไศลได้แต่งตั้งจำเลยที่ 1 ซึ่งได้รับการอบรมการพิสูจน์สอบสวนการทำประโยชน์แล้วเป็นเจ้าหน้าที่ออกไปพิสูจน์สอบสวนการทำประโยชน์เพื่อออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3ก) ทั้งนี้ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 58 วรรคสี่ แห่งประมวลกฎหมายที่ดินซึ่งแก้ไขโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 96 ลงวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2515 ปรากฏว่าตามมาตรา 58 วรรคห้า แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน บัญญัติว่า “ในการปฏิบัติหน้าที่ตามที่นายอำเภอหรือปลัดอำเภอผู้เป็นหัวหน้าประจำกิ่งอำเภอมอบหมายตามวรรคสี่ให้เจ้าหน้าที่เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา” จำเลยที่ 1 ได้ปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งนายอำเภอราษีไศล จึงเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา ส่วนจำเลยที่ 2เป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 4 บ้านดงแดง ตำบลด่าน อำเภอราษีไศลได้ความจากนายบุญถินพยานโจทก์ว่าจำเลยที่ 2 ได้รับคำสั่งแต่งตั้งจากนายอำเภอราษีไศลให้เป็นผู้นำชี้เขตที่ดินของราษฎรคอยระวังแนวเขตที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดินในหมู่บ้าน เนื่องจากทางราชการดำเนินการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ และจำเลยที่ 2 เป็นผู้ปกครองท้องที่ร่วมพิสูจน์สอบสวนการทำประโยชน์กับเจ้าหน้าที่พิสูจน์สอบสวนเรื่องนี้ แทนนายอำเภอราษีไศล ตามคำสั่งที่ 176/2519 ลงวันที่ 15 ธันวาคม 2519 ดังปรากฏในแบบบันทึกการสอบสวนสิทธิและพิสูจน์การทำประโยชน์เพื่อออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก) โดยใช้รูปถ่ายทางอากาศ จำเลยที่ 2 จึงเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายและมีหน้าที่ในการนี้
การที่จำเลยทั้งสองร่วมกันเรียกเอาเงินจากพวกผู้เสียหายดังกล่าวมานั้นได้ความว่าเป็นการเรียกเอาแต่ละวันตรงตามที่โจทก์ฟ้อง และไม่ใช่เป็นการเรียกเอาจากผู้เสียหายสองสามคน แต่เรียกเอาครั้งละคน ทั้งนี้คงเป็นเพราะว่าจำเลยต้องการปกปิดการกระทำความผิดของตน ไม่ยอมให้ผู้อื่นรู้เห็นอีกนอกจากตัวจำเลยกับผู้เสียหายที่ถูกเรียกเอาเงินเท่านั้นผู้เสียหายบางคนก็ให้เงินแก่จำเลยทั้งสองในวันที่ถูกเรียกร้อง บางคนก็ขอผัดผ่อนให้เงินในวันรุ่งขึ้น เห็นว่าการกระทำของจำเลยทั้งสองแยกออกได้เป็นการกระทำการอันเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันศาลมีอำนาจลงโทษผู้กระทำความผิดทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว
พิพากษายืน