คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3591/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสี่ร่วมกันทำนิติกรรมโอนขายหุ้นและที่ดินทำให้โจทก์ไม่สามารถยึดหุ้นและที่ดินของจำเลยที่ 1 มาชำระหนี้ค่าภาษีอากรแก่โจทก์อันเป็นการทำให้โจทก์เสียเปรียบ เท่ากับเป็นการกล่าวหาว่าจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4ทำนิติกรรมร่วมกับจำเลยที่ 1 เพื่อช่วยให้จำเลยที่ 1 ไม่ต้องถูกยึดหุ้นและที่ดินมาชำระหนี้แก่โจทก์ ถือได้ว่าจำเลยทั้งสี่มีส่วนได้เสียในมูลความแห่งคดีตาม ป.วิ.พ.มาตรา 59 วรรคหนึ่ง จึงชอบที่โจทก์จะฟ้องจำเลยทั้งสี่ร่วมกันมาในคดีเดียวกันได้
ศาลแพ่งได้ประทับรับฟ้องคดีไว้แล้วรวมทั้งรับคำให้การจำเลยทั้งสี่ตลอดจนสืบพยานทั้งสองฝ่ายจนสิ้นกระบวนความ ย่อมแสดงให้เห็นว่าศาลแพ่งใช้ดุลพินิจยอมรับพิจารณาพิพากษาคดีนี้แล้วตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 14 (5)
โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทกรม มีอธิบดีเป็นผู้แทนรับผิดชอบงานราชการและเป็นผู้มีอำนาจฟ้องคดีแทนโจทก์ แม้ ส.และ พ.เจ้าพนักงานของโจทก์จะทราบเรื่องที่จำเลยที่ 1 โอนขายหุ้นและที่ดินให้แก่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ในเดือนมกราคม 2530 แต่บุคคลทั้งสองไม่ใช่ผู้แทนโจทก์ผู้มีอำนาจฟ้องคดี จึงยังไม่เริ่มนับอายุความ เมื่อปรากฏว่าอธิบดีของโจทก์ทราบเหตุที่จะขอให้เพิกถอนการโอนไม่เกิน1 ปี คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
จำเลยทั้งสี่ไม่ได้ให้การว่า ประมวลรัษฎากร มาตรา 12กำหนดช่องทางวิธีดำเนินการของโจทก์เกี่ยวกับภาษีอากรค้าง ให้สิทธิโจทก์ยึดทรัพย์จำเลยได้ หาใช่จำเลยเป็นหนี้ที่โจทก์มีอำนาจฟ้องร้องเรียกให้ชำระค่าภาษีอากรหรือฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนเช่นคดีนี้ ข้อที่จำเลยทั้งสี่ฎีกาจึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

Share