แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยขับรถยนต์โดยสารแซงรถยนต์บรรทุกของโจทก์และชนรถยนต์บรรทุกของโจทก์ในขณะที่รถยนต์บรรทุกของโจทก์กำลังเลี้ยวขวา แม้รถยนต์บรรทุกไม่ได้เลี้ยวตัดหน้าอย่างกระชั้นชิด แต่การที่รถยนต์บรรทุกของโจทก์ขับชิดทางด้านซ้ายตลอดมาจนกระทั่งเกิดเหตุ ไม่ได้ขับชิดทางด้านขวาของเส้นแบ่งกึ่งกลางถนนในขณะให้สัญญาณไฟเลี้ยวขวา เพื่อเป็นการเตรียมที่จะเลี้ยวขวาดังนี้ รถยนต์บรรทุกของโจทก์มีส่วนประมาทก่อให้เกิดความเสียหายอยู่ด้วย โจทก์จึงควรมีส่วนรับผิดในค่าเสียหายที่รถยนต์โดยสารก่อขึ้นหนึ่งในสาม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้างจำเลยที่ ๒ ขับรถยนต์โดยสารของจำเลยที่ ๒ ในทางการที่จ้างโดยประมาทแซงรถยนต์บรรทุกของโจทก์ซึ่งมีนายสมัย เป็นผู้ขับและได้ให้สัญญาณจะเลี้ยวขวาเข้าทางแยก จำเลยที่ ๑ แซงไม่พ้นจึงชนท้ายรถของโจทก์ ทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้จำเลยทั้งสองชำระเงิน ๒๐๑,๓๕๐ บาทพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ ๒ ให้การว่าจำเลยที่ ๑ มิได้ประมาท จำเลยที่ ๑ ให้สัญญาณแตรขอทางเมื่อจะแซงมาตั้งแต่ไกล และใช้ระยะเวลานานก่อนที่จะเปลี่ยนช่องทางเดินรถมาด้านขวา ขณะนั้นนายสมัยขับรถชิดอยู่ทางซ้าย จนกระทั่งจำเลยที่ ๑ เปลี่ยนช่องเดินรถมาด้านขวาเพื่อจะแซง นายสมัยจึงได้ขับรถยนต์บรรทุกเลี้ยวขวาโดยกระทันหันขวางทางเดินรถของจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ ห้ามล้ออย่างแรงและหลบมาในช่องทางซ้ายมือ แต่ไม่พ้นจึงเกิดเฉี่ยวชนกัน รถยนต์ของโจทก์เสียหายเล็กน้อย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน ๑๓๐,๐๐๐ บาทพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน ๖๐,๐๐๐ บาทพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าฟังไม่ได้ว่ารถยนต์บรรทุกได้ขับเลี้ยวตัดหน้ารถยนต์โดยสารกระชั้นชิด ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่านายสมัยได้ขับรถยนต์บรรทุกของโจทก์ชิดทางด้านซ้ายตลอดมาจนกระทั่งเกิดเหตุ ไม่ได้ขับชิดทางด้านขวาของเส้นแบ่งกึ่งกลางถนนในขณะให้สัญญาณไฟเพื่อเลี้ยวขวาเพื่อเป็นการเตรียมที่จะเลี้ยวขวา ดังนี้ จึงฟังได้ว่ารถยนต์บรรทุกโจทก์มีส่วนร่วมประมาทก่อให้เกิดความเสียหายด้วย โจทก์จึงควรมีส่วนรับผิดในค่าเสียหายที่รถยนต์โดยสารจำเลยที่ ๒ ก่อขึ้นหนึ่งในสาม โจทก์มีสิทธิได้รับค่าเสียหายเพียง ๔๐,๐๐๐ บาท แม้จำเลยที่ ๑ จะมิได้ฎีกามาด้วย แต่คำพิพากษานี้เกี่ยวด้วยการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ จึงให้มีผลไปถึงจำเลยที่ ๑ ด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๕ (๑) ประกอบด้วยมาตรา ๒๔๗
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน ๔๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากจำนวนเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยที่ ๒ ใช้ค่าทนายความชั้นฎีกาแทนโจทก์ ๑,๐๐๐ บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์