คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3868/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ชายหญิงตกลงกันในวันสู่ขอว่าจะไปจดทะเบียนสมรสหลังพิธีแต่งงานแล้ว ต่อมาชายเป็นฝ่ายที่ไม่ยอมจดทะเบียนสมรสอันเป็นการผิดสัญญาหมั้น ชายจะเรียกร้องของหมั้นและสินสอดคืนไม่ได้ทั้งไม่มีสิทธิเรียกค่าทดแทนความเสียหายที่ได้ใช้จ่ายไปในการเตรียมการสมรส
เงินที่ฝ่ายชายมอบให้แก่ฝ่ายหญิงเพื่อซื้อบ้านอยู่อาศัย ไม่มีลักษณะเป็นค่าใช้จ่ายในการเตรียมการสมรส แต่เป็นข้อตกลงนำเอามาเป็นเงินกองทุนเพื่อใช้เป็นที่อยู่และที่ทำมาหากินระหว่างชายกับหญิงหลังจากแต่งงานแล้ว เมื่อไม่มีการจดทะเบียนสมรสกัน ฝ่ายหญิงต้องคืนเงินจำนวนนี้ให้ฝ่ายชาย
หนี้เงินตามเช็คที่ชายหญิงยังมีข้อต่อสู้โต้เถียงกันอยู่ จะนำมาหักกลบลบหนี้กับหนี้ที่ชายหญิงมีอยู่ต่อกันไม่ได้
หญิงฟ้องแย้งเรียกค่าทดแทนความเสียหายเนื่องจากชายผิดสัญญาหมั้น แต่ข้อนำสืบของหญิงไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า หญิงได้รับความเสียหายต่อชื่อเสียงในการที่ชายผิดสัญญาหมั้นอย่างไรบ้าง การที่หญิงกล่าวอ้างลอย ๆ ว่าได้รับความเสียหายยังไม่เพียงพอที่ศาลจะรับฟังว่าหญิงได้รับความเสียหายอันจะกำหนดให้ชายรับผิดชดใช้ค่าทดแทน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ ๓ ผิดสัญญาหมั้นที่ทำไว้กับโจทก์ที่ ๒ ก่อนทำพิธีแต่งงาน ขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันคืนของหมั้นและสินสอดทั้งหมดให้แก่โจทก์ทั้งสอง ถ้าคืนไม่ได้ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้ราคาเป็นเงินทั้งหมด ๔๔๑,๐๔๔ บาท ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้ความเสียหายอันเนื่องจากค่าใช้จ่ายเตรียมการสมรสเป็นจำนวนเงิน ๑๕๙,๐๐๐ บาท และให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ในต้นเงิน ๖๐๐,๐๔๔ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยทั้งสามจะได้ชำระเสร็จ
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า ฝ่ายโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาหมั้น ทำให้จำเลยที่ ๓ ได้รับความเสียหาย จึงขอให้โจทก์ทั้งสองชดใช้ความเสียหายต่อกายและชื่อเสียงของจำเลยทั้งสามเป็นเงิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท ค่าทดแทนที่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ได้ใช้จ่ายไปในการหมั้น และการสมรสของโจทก์ที่ ๒ กับจำเลยที่ ๓ เป็นเงิน ๘๔,๐๐๐ บาท และให้โจทก์ทั้งสองร่วมกันชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน ๒๘๔,๐๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะปฏิบัติตามคำพิพากษา
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยที่ ๓ เป็นฝ่ายผิดสัญญาหมั้น ไม่มีสิทธิเรียกค่าทดแทนเพื่อความเสียหายและค่าใช้จ่ายใด ๆ จากโจทก์ ถ้าจะฟังว่าโจทก์ที่ ๒ ผิดสัญญา จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ก็ไม่เสียหายต่อกายเละชื่อเสียงแต่อย่างใด สำหรับจำเลยที่ ๓ เสียหายเพียง ๒๐,๐๐๐ บาท สำหรับค่าเสียหายเนื่องจากทำลายทรัพย์สิน จำเลยไม่มีสิทธิฟ้องเรียกจากโจทก์ หากจะมีสิทธิค่าเสียหายก็ไม่เกิน ๑,๐๐๐ บาท
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๓ คืนเงินจำนวน ๑๐๐,๐๐๐ บาทให้แก่โจทก์ที่ ๒ พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ คำขอของโจทก์นอกจากนี้ให้ยก และให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยเสีย
โจทก์ทั้งสอง และจำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยที่ ๓ คืนเงินจำนวน ๒,๐๐๐ บาท ให้แก่โจทก์ที่ ๒ พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ทั้งสองและจำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความนำสืบรับกันฟังได้ว่า โจทก์ที่ ๒ กับจำเลยที่ ๓ ทำพิธีหมั้นและแต่งงานกัน โดยฝ่ายโจทก์นำของหมั้นไปมอบให้แก่ฝ่ายจำเลย มีข้อตกลงกันในวันสู่ขอจำเลยที่ ๓ ว่า จะจดทะเบียนสมรสหลังจากแต่งงานแล้ว แต่โจทก์ที่ ๒ กับจำเลยที่ ๓ ก็มิได้มีการจดทะเบียนสมรสกัน คงมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์และจำเลยต่อไปดังนี้
ข้อ ๑ โจทก์หรือจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาหมั้น
ข้อ ๒ ฝ่ายใดจะต้องรับผิดชำระเงินให้แก่อีกฝ่ายหนึ่ง ตามที่โจทก์ฟ้องหรือฟ้องแย้งของจำเลยหรือไม่ เพียงใด
สำหรับปัญหาข้อแรกที่ว่า โจทก์หรือจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาหมั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามพฤติการณ์แห่งคดีฟังได้ว่า โจทก์ที่ ๒ เป็นฝ่ายไม่ยอมไปจดทะเบียนสมรสอันเป็นการผิดสัญญาหมั้น
ส่วนปัญหาข้อที่ ๒ นั้น เมื่อพฤติการณ์แห่งคดีถือไม่ได้ว่า เหตุที่ไม่มีการจดทะเบียนสมรสกันโดยฝ่ายจำเลยผิดสัญญานั้น ฝ่ายจำเลยจึงไม่ต้องคืนของหมั้นและสินสอดให้แก่ฝ่ายโจทก์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๓๗ และ ๑๔๓๙ และฝ่ายโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าทดแทนความเสียหายจากฝ่ายจำเลยในส่วนที่เป็นค่าใช้จ่ายในการเตรียมการสมรสที่ฝ่ายโจทก์ได้ใช้จ่ายไป ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๓๙ ส่วนเงินที่โจทก์มอบให้ฝ่ายจำเลยเพื่อซื้อบ้านนั้นไม่มีลักษณะเป็นค่าใช้จ่ายในการเตรียมการสมรส โดยเป็นข้อตกลงของทั้งสองฝ่ายนำเอามาเป็นเงินกองทุน เพื่อใช้เป็นสถานที่อยู่และที่ทำมาหากินระหว่างโจทก์ที่ ๒ กับจำเลยที่ ๓ หลังจากแต่งงานกันแล้ว เมื่อไม่มีการจดทะเบียนสมรสกัน ก็ต้องคืนเงินจำนวนนี้ให้ฝ่ายโจทก์ โจทก์อ้างว่าได้จ่ายซื้อบ้านตามข้อตกลงดังกล่าวเป็นเงิน ๑๔๐,๐๐๐ บาท โดยจ่ายเป็นเงินสด ๔๐,๐๐๐ บาท และตั๋วแลกเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท ปรากฏว่าสำหรับเงินสดจำนวน ๔๐,๐๐๐ บาทนั้น โจทก์กล่าวอ้างขึ้นลอย ๆ โดยไม่มีหลักฐานใดมาสนับสนุนให้เห็นว่าจำเลยได้รับเงินจำนวนนี้ของโจทก์ไว้เพื่อซื้อบ้านแต่อย่างใด จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้รับเงินดังกล่าวไว้ ส่วนตั๋วแลกเงินจำนวน ๑๐๐,๐๐๐ บาทนั้น จำเลยที่ ๓ เบิกความยอมรับว่า ได้รับจากโจทก์ที่ ๒ จริง จึงฟังได้ว่า โจทก์ที่ ๒ ได้มอบเงินให้จำเลยที่ ๓ เป็นเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท ส่วนที่จำเลยที่ ๓ นำสืบว่า โจทก์ที่ ๒ ได้ขอยืมเงินของจำเลยที่ ๓ ไปเป็นเงิน ๙๘,๐๐๐ บาท ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.๒๑ ถึง จ.๒๗ และ จ.๖ หมายเลข ๕ หลังจากหักกลบลบหนี้กับจำนวนเงินที่โจทก์ที่ ๒ จ่ายเป็นค่าซื้อบ้านแล้ว คงเหลือเป็นเงินในส่วนที่โจทก์ที่ ๒ จ่ายเป็นค่าซื้อบ้านเพียง ๒,๐๐๐ บาทนั้น โจทก์ที่ ๒ นำสืบต่อสู้ว่า จำเลยที่ ๓ นำเช็คตามเอกสารหมาย จ.๒๒ และ จ.๒๕ มาชำระหนี้เงินยืมให้โจทก์ที่ ๒ ส่วนนอกนั้นเป็นเช็คที่จำเลยที่ ๓ วานให้โจทก์ที่ ๒ นำไปเบิกเงินจากธนาคาร และโจทก์ที่ ๒ ได้มอบเงินตามเช็คดังกล่าวให้จำเลยที่ ๓ รับไปแล้ว เมื่อปรากฏว่า หนี้เงินตามเช็คดังกล่าวยังมีข้อต่อสู้โต้เถียงกันอยู่ว่าเป็นหนี้กันตามเช็คหรือไม่ เช่นนี้ จำเลยที่ ๓ จึงไม่มีสิทธิหักกลบลบหนี้ได้ ต้องคืนเงินจำนวนนี้ให้แก่โจทก์ที่ ๒ ไป
ส่วนโจทก์จะต้องรับผิดชำระเงินตามฟ้องแย้งให้จำเลยหรือไม่ เพียงใดนั้น เห็นว่า ที่จำเลยฟ้องแย้งเรียกค่าทดแทนความเสียหายต่อชื่อเสียงเนื่องจากโจทก์ผิดสัญญาหมั้น นอกจากข้อนำสืบของจำเลยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า จำเลยได้รับความเสียหายต่อชื่อเสียงในการที่โจทก์ผิดสัญญาหมั้นอย่างไรบ้าง โดยกล่าวอ้างลอย ๆ แต่เพียงว่า ได้รับความเสียหาย ย่อมไม่เป็นการเพียงพอที่ศาลจะรับฟังว่าจำเลยได้รับความเสียหาย และกำหนดให้โจทก์รับผิดใช้ค่าทดแทน นอกจากนี้ศาลก็ได้วินิจฉัยให้ฝ่ายจำเลยไม่ต้องคืนของหมั้นและสินสอดให้ฝ่ายโจทก์ ซึ่งนับว่าเป็นค่าทดแทนเพียงพอที่ฝ่ายจำเลยพึงได้รับแล้ว ส่วนที่จำเลยเรียกร้องค่าใช้จ่ายในการเตรียมการสมรสเป็นเงิน ๘๔,๐๐๐ บาท ศาลล่างทั้งสองเห็นว่า เป็นการจ่ายซื้อเครื่องใช้สอยในครอบครัว ซึ่งเครื่องใช้สอยดังกล่าว จำเลยยังสามารถใช้ประโยชน์ได้ต่อไป และไม่กำหนดให้โจทก์รับผิดใช้ค่าทดแทนในส่วนนี้ให้จำเลยนั้น เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งรูปคดีแล้ว ไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงแก้ไข
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share