คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2079/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่ อ. ยกที่ดินมีโฉนดให้แก่โจทก์และ ก.การยกให้นั้นมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ แต่ได้มอบโฉนดที่ดินและใบนำสำรวจพื้นที่ดินเพื่อเสียภาษีบำรุงท้องที่ให้แก่โจทก์ โจทก์กับ ก.ต่างครอบครองที่ดินที่ได้รับการยกให้นั้นตามส่วนของตน เมื่อโจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทมาเกินกว่า 10 ปี โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ โจทก์ย่อมได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382 คำขอท้ายฟ้องของโจทก์ที่ให้เพิกถอนคำสั่งศาลชั้นต้นที่มีคำสั่งว่า ก.ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาททั้งแปลงนั้นศาลไม่อาจบังคับได้เพราะคำสั่งดังกล่าวถึงที่สุดแล้ว แต่โจทก์เป็นบุคคลนอกคดีสามารถพิสูจน์ได้ว่าที่ดินพิพาทส่วนหนึ่งเป็นของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 145(2)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า นายอุ้ยหรืออุ๊ยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินโฉนดเลขที่ 6075 โดยมีส่วนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์เนื้อที่ 2 ไร่ ก่อนถึงแก่กรรมประมาณ 20 ปี นายอุ้ยหรืออุ๊ยได้ยกที่ดินส่วนของตนด้านทิศเหนือ 1 ไร่ ให้แก่นางกิมฮวยภรรยาจำเลยที่ 1 และยกส่วนที่เหลือทางด้านทิศใต้ 1 ไร่ ให้แก่โจทก์การยกที่ดินให้ดังกล่าวมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เพียงแต่นายอุทัยหรืออุ๊ยได้มอบที่ดินและโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์ โจทก์เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินตั้งแต่ยกให้ โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเกินกว่า 10 ปีแล้ว ต่อมานางกิมฮวยยื่นคำร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินต่อศาลชั้นต้น อ้างว่านายอุ้ยหรืออุ๊ยยกที่ดินส่วนของตนให้แก่นางกิมฮวยเมื่อปี 2502 ทั้ง 2 ไร่ซึ่งไม่เป็นความจริง เป็นเหตุให้ศาลหลงเชื่อและมีคำสั่งเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2525 ว่า ที่ดินทั้ง 2 ไร่ ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของนางกิมฮวย ปรากฎตามสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 630/2525 ของศาลชั้นต้น ต่อมานางกิมฮวยถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2528 สิทธิและหน้าที่ของนางกิมฮวยจึงตกแก่จำเลยทั้งห้าซึ่งเป็นทายาท โจทก์ขอให้จำเลยทั้งห้าคืนที่ดินส่วนของโจทก์เนื้อที่ 1 ไร่แล้ว แต่จำเลยทั้งห้าเพิกเฉย ขอให้พิพากษาว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 6075ส่วนที่เป็นของนายอุ้ยหรืออุ๊ยทางด้านทิศใต้เนื้อที่ 1 ไร่ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์โดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 เพิกถอนคำสั่งของศาลในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 630/2525 ของศาลชั้นต้น และเพิกถอนการจดทะเบียนเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2525 หรือให้จำเลยทั้งห้าโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 6075 เฉพาะส่วนที่นางกิมฮวยได้มาโดยการครอบครองตามคำสั่งของศาลชั้นต้นแก่โจทก์ครึ่งหนึ่ง หากจำเลยทั้งห้าไม่ไปจัดการโอนก็ให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทน
จำเลยทั้งห้าให้การว่า นายอุ้ยหรืออุ๊ยได้ยกที่ดินเนื้อที่ 2 ไร่ ดังกล่าวให้นางกิมฮวยแต่ผู้เดียว นางกิมฮวยได้ครอบครองที่ดินดังกล่าวร่วมกับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5ตลอดมา โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของจนกระทั่งนางกิมฮวยถึงแก่กรรม และจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5ก็ปกครองที่ดินดังกล่าวต่อมา โจทก์ไม่เคยเข้าทำประโยชน์ในที่ดินทางด้านทิศใต้เนื้อที่ 1 ไร่ เมื่อนางกิมฮวยยื่นคำร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดิน โจทก์ก็รู้ แต่มิได้คัดค้านฟ้องขาดอายุความ เพราะมิได้เรียกร้องมรดกภายใน 1 ปี ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่ดินบางส่วนตามโฉนดเลขที่ 6075เฉพาะส่วนของนายอุทัยหรืออุ๊ย เนื้อที่ 1 ไร่ เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ให้เพิกถอนคำสั่งศาลตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่630/2525 ของศาลชั้นต้น และเพิกถอนการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินของนางกิมฮวย เฉพาะที่ดินส่วนของอุ้ยหรืออุ๊ยเนื้อที่ 1 ไร่ ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์
จำเลยทั้งห้าอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นได้รับรองให้ฎีกาในข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่าโจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลา 10 ปี จนได้กรรมสิทธิ์แล้วหรือไม่โจทก์เบิกความเป็นพยานว่าเมื่อประมาณ 20 ปี มาแล้วนายอุ้ยหรืออุ๊ยได้ยกที่ดินที่เป็นส่วนกรรมสิทธิ์ของตนเนื้อที่ 2 ไร่ ให้แก่โจทก์และนางกิมฮวยคนละ 1 ไร่ โดยให้นางกิมฮวย ทางด้านทิศเหนือ ให้โจทก์ทางด้านทิศใต้คือที่ดินพิพาท การยกให้นั้นมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ แต่ได้มอบโฉนดที่ดินและใบนำสำรวจพื้นที่ดินเพื่อเสียภาษีบำรุงท้องที่ให้แก่โจทก์ โจทก์กับนางกิมฮวยต่างครอบครองที่ดินที่ได้รับการยกให้นั้นตามส่วนของตนโจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเกินกว่า 10 ปี โดยใช้ที่ดินพิพาทปลูกพืชล้มลุกจำเลยที่ 1 ไม่ได้เบิกความหักล้างพยานโจทก์ที่ว่า นายอุ้ยหรืออุ๊ยได้มอบโฉนดที่ดินให้โจทก์แต่อย่างใดเลยเห็นว่า แม้จำเลยที่ 1 เบิกความด้วยว่าในขณะที่นางกิมฮวยยื่นคำร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดิน 2 ไร่ ต่อศาลชั้นต้นนั้นโฉนดที่ดินอยู่กับนายวงษ์ จำเลยที่ 1 กับนางกิมฮวยได้ขอยืมโฉนดดังกล่าวมาจากนายวงษ์ แต่ตามคำเบิกความของนายวงษ์ไม่ได้ความดังกล่าวด้วยเลยโจทก์ก็เบิกความด้วยว่าเมื่อปี 2525 นางกิมฮวยได้มาขอยืมโฉนดที่ดินจากโจทก์ไปโดยบอกว่าขอเอาไปเป็นประกันหนี้ โจทก์ได้มอบให้ไป ซึ่งเป็นปีเดียวกันกับที่นางกิมฮวยยื่นคำร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวต่อศาลชั้นต้น ต่อมาเมื่อต้นปี 2430 จำเลยที่ 1นำโฉนดที่ดินมาคืนโจทก์ โจทก์จึงรู้ว่านางกิมฮวยนำโฉนดดังกล่าวไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้ง 2 ไร่ เป็นของนางกิมฮวยเอง และตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นก็ปรากฎว่า โจทก์เป็นผู้ส่งโฉนดที่ดินเป็นพยานต่อศาล แสดงว่าโฉนดที่ดินอยู่ที่โจทก์มาก่อน พยานหลักฐานโจทก์ที่ว่านายอุ้ยหรืออุ๊ยได้มอบโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์จึงมีน้ำหนักรับฟังได้ ดังนั้นหากนายอุ้ยหรืออุ๊ยยกที่ดินทั้ง 2 ไร่ให้แก่นางกิมฮวยดังคำเบิกความของจำเลยที่ 1 จริง ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่นายอุ้ยหรืออุ๊ยจะมอบโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์คำเบิกความของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวจึงไม่สมเหตุผล พยานหลักฐานโจทก์ที่ว่านายอุ้ยหรืออุ๊ยได้ยกที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์จึงมีน้ำหนักรับฟังได้ และยอมรับฟังได้ว่าโจทก์เป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาท ไม่ใช่นางกิมฮวยกับพวกเป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทดังคำพยานจำเลยทั้งห้าแต่อย่างใด เพราะโจทก์นำสืบถึงเหตุได้ที่ดินพิพาทมาครอบครองสมเหตุผล ส่วนจำเลยทั้งห้านำสืบอ้างถึงเหตุที่ได้ที่ดินพิพาทมาไม่สมเหตุผลเมื่อโจทก์และพยานโจทก์ดังกล่าวมาแล้วต่างเบิกความสอดคล้องต้องกันว่า โจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทมาเกินกว่า 10 ปี จึงเชื่อว่าโจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมาก่อนฟ้องเกินกว่า 10 ปีจนได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382แล้ว แต่ในส่วนที่โจทก์มีคำขอท้ายฟ้องให้เพิกถอนคำสั่งศาลชั้นต้นในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 630/2525 นั้น เห็นว่าคำสั่งศาลดังกล่าวถึงที่สุดแล้วไม่อาจถูกเพิกถอนได้ และโจทก์เป็นบุคคลภายนอกคดีซึ่งสามารถพิสูจน์ได้ว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 145 (2)
พิพากษากลับเป็นว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 6075 เฉพาะส่วนของนายอุ้ยหรืออุ๊ย เนื้อที่ 1 ไร่ เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์

Share