คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3859/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ข้อที่ลูกหนี้ฎีกาโต้เถียงว่าสัญญาขายลดเช็คที่บริษัทพ. ทำไว้กับเจ้าหนี้ลูกหนี้ได้ปฏิเสธแล้วนั้น เป็นการฎีกาที่ไม่ตรงต่อข้อเท็จจริง เพราะในชั้นที่เจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ ลูกหนี้ โต้แย้งเพียงว่าผู้สั่งจ่าย และผู้สลักหลังเช็คที่นำมาขายลดแก่ เจ้าหนี้ไม่ใช่กรรมการผู้มีอำนาจของบริษัท พ. หาได้โต้แย้งหรือปฏิเสธว่าบริษัท พ. ไม่ได้ทำสัญญาขายลดเช็คหรือไม่ได้นำเช็คมาขายลดให้แก่เจ้าหนี้ไม่ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าบริษัท พ. ได้ทำสัญญาขายลดเช็คและได้นำเช็คมาขายลดให้แก่เจ้าหนี้จริงเจ้าหนี้หาจำต้องสืบพยานในข้อนี้ไม่ และเมื่อข้อเท็จจริงฟังเป็น ยุติแล้วดังกล่าว ข้อที่ลูกหนี้ฎีกาว่าภาระการพิสูจน์เพื่อแสดง ถึงความไม่สมบูรณ์ของสัญญาขายลดเช็คตกอยู่แก่ฝ่ายเจ้าหนี้นั้น จึงเป็นข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดี อันควรได้รับการวินิจฉัย ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 249.

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากลูกหนี้ (จำเลย) ถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด เจ้าหนี้รายที่ 8 ยื่นคำขอรับชำระหนี้ตามสัญญาค้ำประกันเป็นเงิน 5,128,463.05 บาท จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ให้บรรดาเจ้าหนี้และลูกหนี้ตรวจคำขอรับชำระหนี้แล้วปรากฏว่า ลูกหนี้โต้แย้งคำขอรับชำระหนี้รายนี้บางส่วนว่าเป็นหนี้ที่ไม่ถูกต้องเนื่องจากลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายในเช็คที่บริษัทพี.ที.ไอ. จำกัด นำไปขายลดให้กับเจ้าหนี้ไม่ใช่ลายมือชื่อของกรรมการบริษัท พี.ที.ไอ. จำกัด ลายมือชื่อผู้สลักหลังในเช็คดังกล่าวก็ไม่สมบูรณ์เช่นเดียวกัน ขอให้ยกคำขอรับชำระหนี้ส่วนนั้นเสีย
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทำการสอบสวนแล้ว ฟังข้อเท็จจริงว่าบริษัท พี.ที.ไอ. จำกัด ได้ทำสัญญาขายลดเช็คไว้กับเจ้าหนี้โดยมีลูกหนี้กับพวกเข้าทำสัญญาค้ำประกันโดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมในวงเงิน 7,000,000 บาท บริษัท พี.ที.ไอ. จำกัด ได้ขายลดเช็คให้เจ้าหนี้ และเป็นหนี้เจ้าหนี้ตามสัญญาขายลดเช็ค รวมทั้งดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 20 ต่อปี ถึงวันที่บริษัท พี.ที.ไอ. จำกัดถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดในคดีล้มละลายหมายเลขแดงที่ 346/2528ของศาลชั้นต้นเป็นเงิน 4,224,935.53 บาท กับดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 20ต่อปี จากต้นเงิน 3,821,061 บาท นับถัดจากวันที่บริษัท พี.ที.ไอ.จำกัด ถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด ถึงวันที่ลูกหนี้ถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเป็นเงิน 850,055.21บาทรวมที่ลูกหนี้ต้องรับผิด 5,074,990.74บาท ซึ่งเป็นหนี้ที่ไม่ต้องห้ามมิให้ขอรับชำระ จึงเสนอความเห็นต่อศาลชั้นต้นว่า สมควรให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้จำนวน 5,074,990.74บาท จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ตามมาตรา 130(8) แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 โดยมีเงื่อนไขว่า หากเจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของบริษัท พี.ที.ไอ. จำกัด ลูกหนี้ (จำเลย)ในคดีล้มละลายหมายเลขแดงที่ 346/2528 ของศาลชั้นต้นและหรือจากนายฤกษ์ชัย โกมลเกษรักษ์ และหรือนายชวน คูสมิทธ์ และหรือนายนรินทร์ ศรีเฉลิมพลนาวา ผู้ค้ำประกันร่วมแล้วเพียงใด ก็ให้สิทธิที่จะได้รับชำระหนี้ในคดีนี้ลดลงเพียงนั้น ส่วนที่ขอเกินมาให้ยกเสีย
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ตามความเห็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
ลูกหนี้อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ลูกหนี้ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงได้ความว่า ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยต้องกันว่า บริษัท พี.ที.ไอ. จำกัด ได้ทำสัญญาขายลดเช็คไว้กับเจ้าหนี้ โดยมีลูกหนี้เข้าทำสัญญาค้ำประกันการชำระหนี้ตามสัญญาดังกล่าว โดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม ต่อมาบริษัท พี.ที.ไอ. จำกัด ตกเป็นหนี้เจ้าหนี้ตามสัญญาขายลดเช็คดังกล่าวนับถึงวันที่ลูกหนี้ถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเป็นเงินรวมทั้งสิ้น 5,074,990.74 บาท และเจ้าหนี้ยังไม่ได้รับชำระลูกหนี้จึงต้องรับผิดต่อเจ้าหนี้ ดังปรากฏตามสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.3 ถึง จ.5 ลูกหนี้ฎีกาโต้เถียงว่า สัญญาขายลดเช็คที่บริษัท พี.ที.ไอ. จำกัด ทำไว้กับเจ้าหนี้นั้น ลูกหนี้ได้ปฏิเสธแล้วเจ้าหนี้จึงต้องนำสืบ เมื่อไม่นำสืบย่อมใช้บังคับไม่ได้ กับฎีกาด้วยว่า สัญญาดังกล่าวอยู่ในความครอบครองของเจ้าหนี้ ทั้งพยานบุคคลก็อยู่กับเจ้าหนี้ ภาระการพิสูจน์เกี่ยวกับสัญญาดังกล่าวจึงตกอยู่แก่ฝ่ายเจ้าหนี้ เมื่อไม่พิสูจน์ ศาลควรพิพากษายกหนี้ส่วนนี้เสีย พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ข้อที่ลูกหนี้ฎีกาโต้เถียงว่าสัญญาขายลดเช็คที่บริษัท พี.ที.ไอ. จำกัด ทำไว้กับเจ้าหนี้ ลูกหนี้ได้ปฏิเสธแล้วนั้น เป็นการฎีกาที่ไม่ตรงต่อข้อเท็จจริง เพราะที่จริงแล้วในชั้นที่เจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ ลูกหนี้โต้แย้งเพียงว่าผู้สั่งจ่ายและผู้สลักหลังเช็คที่นำมาขายลดแก่เจ้าหนี้ไม่ใช่กรรมการผู้มีอำนาจของบริษัท พี.ที.ไอ. จำกัด หาได้โต้แย้งหรือปฏิเสธว่าบริษัท พี.ที.ไอ. จำกัด ไม่ได้ทำสัญญาขายลดเช็ค หรือไม่ได้นำเช็คมาขายลดให้กับเจ้าหนี้ไม่ ข้อเท็จจริงจึงเป็นอันฟังได้ว่า บริษัท พี.ที.ไอ. จำกัด ได้ทำสัญญาขายลดเช็ค และได้นำเช็คมาขายลดให้กับเจ้าหนี้จริง เจ้าหนี้หาจำต้องสืบพยานในข้อนี้ไม่ส่วนข้อที่ลูกหนี้ฎีกาว่า ภาระการพิสูจน์เพื่อแสดงถึงความไม่สมบูรณ์ของสัญญาขายลดเช็คตกอยู่แก่ฝ่ายเจ้าหนี้นั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติแล้วว่า บริษัท พี.ที.ไอ. จำกัด ได้ทำสัญญาขายลดเช็คและได้นำเช็คมาขายลดให้กับเจ้าหนี้จริง ซึ่งเจ้าหนี้ไม่จำต้องสืบพยานในข้อนี้แล้ว ข้อฎีกาของลูกหนี้เกี่ยวกับภาระการพิสูจน์ในเรื่องนี้ จึงเป็นข้อกฎหมายที่ ไม่เป็นสาระแก่คดี ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของลูกหนี้ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.

Share