แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยให้การว่าไม่เคยกู้และรับเงินจากโจทก์ สัญญากู้เป็นเอกสารปลอมโดยโจทก์กรอกข้อความอันเป็นเท็จและจำเลยไม่รู้เห็นหรือยินยอมจึงเป็นโมฆะ แต่นำสืบว่ากู้เงินโจทก์เพียงบางส่วนและชำระหนี้แล้ว ดังนี้เป็นการนำสืบในข้อเท็จจริงที่มิได้ให้การไว้และมิใช่เป็นการนำพยานหลักฐานมาสืบเพื่อสนับสนุนคำให้การ จึงเป็นพยานหลักฐานที่ไม่เกี่ยวถึงข้อเท็จจริงที่คู่ความฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดในคดีจะต้องนำสืบ ต้องห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานหลักฐานที่นำสืบดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87(1)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกู้เงิน 32,000 บาท ขอให้จำเลยชำระต้นเงินและดอกเบี้ยถึงวันฟ้องรวม 61,515 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ จำเลยให้การว่า ไม่เคยกู้เงินและรับเงินตามฟ้อง สัญญากู้เป็นเอกสารปลอมโดยโจทก์กรอกข้อความอันเป็นเท็จและปราศจากการรู้เห็นยินยอมของจำเลย สัญญากู้เป็นโมฆะ ขอให้ยกฟ้องศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยได้กู้เงินโจทก์เพียง20,000 บาท พิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ตีอปี นับแต่วันกู้จนกว่าจะชำระเสร็จ โจทก์และจำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้ ให้จำเลยชำระเงิน32,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พิเคราะห์แล้ว โจทก์เบิกความยืนยันว่าจำเลยได้กู้เงินจากโจทก์ไปจำนวน 32,000 บาท ตามเอกสารหมาย จ.2จำเลยก็เบิกความยอมรับว่าได้ทำสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.2 จริงจำนวน 32,000 บาท สัญญากู้ตามฟ้องจึงไม่เป็นเอกสารที่โจทก์กรอกข้อความเองโดยจำเลยมิได้ยินยอม มิใช่เอกสารปลอม ส่วนที่จำเลยนำสืบว่า จำเลยกู้เงินโจทก์เพียง 20,000 บาท และชำระหนี้ให้โจทก์แล้วเป็นการนำสืบในข้อเท็จจริงที่จำเลยมิได้ให้การไว้และมิใช่เป็นการนำพยานหลักฐานมาสืบเพื่อสนับสนุนคำให้การของจำเลยจึงเป็นพยานหลักฐานที่ไม่เกี่ยวถึงข้อเท็จจริงที่คู่ความฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดในคดีจะต้องนำสืบ ต้องห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานหลักฐานที่จำเลยนำสืบดังกล่าวแล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 87(1) ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยได้กู้เงินโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.2 และผิดนัดไม่ชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยจริงคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ชอบแล้ว”
พิพากษายืน